ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเตรียมเดินทางเยือนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14–18 เมษายน 2568 ซึ่งนับเป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของเขาในปีนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงการต่างประเทศจีนยืนยันว่า สีจะเดินทางเยือนเวียดนามก่อนในวันที่ 14-15 เมษายน จากนั้นจะต่อด้วยมาเลเซียและกัมพูชาในช่วงวันที่ 15-18 เมษายน โดยภารกิจครั้งนี้ถือเป็นการแสดงจุดยืนของจีนว่า พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างพันธมิตรระดับภูมิภาคเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพิ่งประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 145% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับให้สิทธิพักการจัดเก็บภาษี 90 วันกับเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการแยกจีนออกจากประเทศอื่นในภูมิภาค
การเยือนของสีมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% เมื่อวันพุธ ก่อนจะขยับขึ้นอีกเป็น 145% ในวันต่อมา ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็ประกาศพักการจัดเก็บภาษีที่วางไว้ต่อเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นเวลา 90 วัน
ทั้งสามประเทศต่างเผชิญภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน ได้แก่ กัมพูชา 49%, เวียดนาม 46% และมาเลเซีย 24% ภายใต้แผน “ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม” หรือ reciprocal tariffs ของทรัมป์ แม้มาตรการเหล่านี้จะถูกระงับชั่วคราว แต่ภาษีฐาน 10% สำหรับสินค้าจากประเทศคู่ค้าทั้งหมดยังคงมีผลบังคับใช้
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การแบ่งแยกประเทศในภูมิภาคอาเซียนออกจากจีนในนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เป็นความพยายามของวอชิงตันที่จะดึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นแนวร่วมทางเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อกดดันปักกิ่ง
เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ต่างมีบทบาทสำคัญต่อภูมิภาค ทั้งในแง่เศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ และล้วนได้รับผลกระทบจากสงครามภาษีที่ยืดเยื้อของสหรัฐฯ กับจีน นับตั้งแต่สมัยแรกที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประเทศเหล่านี้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นเป้าจับตาของสหรัฐฯ ในประเด็น “การถ่ายโอนสินค้า” (transshipment) หรือการส่งออกสินค้าจีนผ่านประเทศที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ทั้งนี้ แม้จีนจะมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับอาเซียนอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ยังมีข้อพิพาทระยะยาว โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนอ้างสิทธิครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ ทั้งเกาะ แนวปะการัง และน่านน้ำโดยรอบ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความไม่พอใจในหมู่ประเทศผู้เรียกร้องสิทธิร่วม อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน
นอกจากนี้ ทั้งสามประเทศยังมีปัจจัยเฉพาะที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีน ได้แก่
ในบริบทนี้ การเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาของสี จิ้นผิง จึงไม่ใช่แค่ภารกิจทางการทูตทั่วไป แต่เป็นบททดสอบเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในการรักษาอิทธิพลในภูมิภาค ท่ามกลางแรงกระเพื่อมจากทั้งสองขั้วมหาอำนาจโลก
โธมัส แดเนียล นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยยุทธศาสตร์และนานาชาติมาเลเซีย (ISIS) ชี้ว่า สี จิ้นผิงตั้งเป้าใช้การเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้เพื่อยกระดับอิทธิพลของจีนในเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เขาระบุว่า ท่าทีของจีนต่อภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านค่าเงินและการจัดการการส่งออก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยบรรเทาหรือกลับยิ่งซ้ำเติมปัญหาของประเทศในอาเซียน พร้อมเตือนว่าการแสดงออกถึง "ความใจกว้างอย่างจริงใจ" จากจีนจะช่วยเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกให้แก่จีนอย่างมาก
แดเนียลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สี จิ้นผิงน่าจะมองหา "สัญญาณสนับสนุน" ที่เป็นรูปธรรมจากประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีวี่แววจะยุติ แม้ในขณะเดียวกัน ผู้นำของเวียดนามและมาเลเซียอาจยังไม่กล้าแสดงจุดยืนชัดเจน เนื่องจากกำลังเดินหน้าหารือกับวอชิงตันเพื่อลดแรงกระแทกจากภาษีของสหรัฐฯ
“การเยือนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสทองของจีน หากจีนรู้วิธีจะใช้มันให้เป็นประโยชน์” แดเนียลกล่าวปิดท้าย