ข่าวการส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังรัสเซียเพื่อเป็นหน้าด่านในสมรภูมิรบกับยูเครน เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ยูเครนออกมาเปิดเผยว่า พบทหารเกาหลีเหนือในเขตสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ภูมิภาคเคิร์คส์ หน่วยข่าวกรองหลายฝ่ายเชื่อว่า เกาหลีเหนือได้ส่งกองทัพ 3,000 นายเข้ามาช่วยรัสเซียเป็นชุดแรก
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ ออกมาเปิดเผยตัวเลขทหารเกาหลีเหนือทั้งหมดที่จะเดินทางไปยังรัสเซีย คาดว่า จะมีมากถึง 12,000 นายเลยทีเดียว โดยพบว่า ทหารจากเกาหลีเหนือได้เคลื่อนพลไจากพื้นที่ใกล้เมืองชองจิน ฮัมฮุง และมูซูดันของเกาหลีเหนือไปยังวลาดิวอสต็อกทางตะวันออกของรัสเซีย จากข้อมูลของภาพถ่ายดาวเทียม ทั้งนี้ กองกำลังเกาหลีเหนือที่ส่งไปรัสเซียได้ประจำการอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกไกล รวมถึงวลาดิวอสต็อก อุสซูริสค์ คาบารอฟสก์ และบลาโกเวชเชนสก์
หลักฐานประจักษ์ชัดเจนมากขึ้นไปอีก โดยในช่วงต้นปีนี้ หน่วยงานความมั่นคงยูเครน เผยแพร่คลิปวิดีโอทหารเกาหลีเหนือ 2 นาย ขณะกำลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หลังถูกกองทัพยูเครนจับกุมตัวได้ในภูมิภาคเคิร์คส์ของยูเครน และหลังจากนั้นก็มีรายงานตัวเลขทหารเกาหลีเหนือที่เสียชีวิตในสงครามยูเครนและรัสเซีย โดยหน่วยข่าวกรองตะวันตกเชื่อว่า มีทหารเกาหลีเหนือโดนสังหารหลายพันนาย
ล่าสุด BBC รายงานว่า หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ได้พบข้อมูลว่าทางการเกาหลีเหนือส่งทหารไปรัสเซียเพิ่มอีก 1,000 กว่านาย เมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงกองกำลังเกาหลีเหนือที่อยู่ในรัสเซียอยู่แล้ว ถูกส่งตัวกลับไปยังแนวหน้าในสนามรบอีกครั้ง หลังจากไม่มีการโจมตีใด ๆ มานานประมาณเดือนกว่า หน่วยรบพิเศษของยูเครนก็ยอมรับว่า พวกเขาไม่ได้พบเห็นทหารเกาหลีเหนือเลยเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ต่อมาประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนก็ยืนยันแล้วว่า พวกเขาได้กลับมาที่แนวหน้าภูมิภาคเคิร์คส์อีกครั้งในช่วงนี้ ที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนกลับมาปะทุเดือด
กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เกาหลีเหนือคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรัสเซีย แลกกับการส่งกองกำลังไปร่วมรบในสงครามยูเครน โดย BBC เคยรายงานว่า หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ประเมินว่า รัสเซียจ่ายเงินให้เกาหลีเหนือประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือต่อทหารหนึ่งนายในแต่ละเดือน
ตามรายงานของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NIS) เชื่อว่า เกาหลีเหนือได้ส่งแรงงานหลายพันคนไปยังไซต์ก่อสร้างต่าง ๆ ทั่วรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนแรงงานของรัสเซีย อันเนื่องมาจากสงครามกับยูเครนที่ยังยืดเยื้ออยู่
แม้ว่าทางการรัสเซียและเกาหลีเหนือจะออกมาปฏิเสธว่าการส่งทหารร่วมรบไม่เป็นความจริง และให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่อนข้างจำกัด แต่นอกจากหลักฐานประจักษ์ที่หน่วยข่าวกรองเผยออกมาแล้ว ยังมีหลักฐานในด้านความเฟื่องฟูของเกาหลีเหนือในช่วงนี้ ผ่านการโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ด้านนิวเคลียร์ใหม่ ๆ รวมถึงการซ้อมยิงขีปนาวุธถี่ขึ้น เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพด้านกองกำลังทหารสู่สายตาชาวโลก
ในปี 2025 เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางลงสู่ทะเลตะวันออก นับเป็นการทดสอบขีปนาวุธครั้งแรกในปีนี้ โดยออกมาอ้างความสำเร็จว่า ได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางไฮเปอร์โซนิกรุ่นใหม่ ยิงได้ไกลถึง 1,500 กิโลเมตรและเร็วกว่าความเร็วเสียงถึง 12 เท่า ต่อมาอีกไม่กี่วัน กองทัพเกาหลีใต้ได้ตรวจพบการทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ ที่ถูกรัวยิงหลายลูกจากเขตคังกเย จังหวัด จังชากัง ทางภาคเหนือของเกาหลีเหนือ ซึ่งทั้งสองวาระเป็นช่วงที่การเมืองสหรัฐฯ มีความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการก้าวขึ้นตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์
ความแข็งแกร่งของกองทัพยังแสดงผ่านการตรวจเยี่ยมฐานพัฒนาขีปนาวุธของผู้นำสูงสุดคิม จองอึน ด้วย เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สื่อเกาหลีเหนือเผยแพร่ภาพผู้นำคิมตรวจเยี่ยมการทดสอบโดรนพลีชีพระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ออกแบบมาเพื่อตรวจจับเป้าหมายยุทธวิธีต่าง ๆ และเฝ้าติดตามกิจกรรมของศัตรูทั้งบนบกและในทะเล พร้อมเปิดตัวเครื่องบินลาดตระเวน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นเครื่องบินลำเลียง Ilyushin Il-76 ของรัสเซีย
ล่าสุด ผู้นำคิมยังเปิดตัวโครงการพัฒนาเรือดำน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถยิงขีปนาวุธพุกกุกซอง-6 ได้ไกลถึง 12,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่สามารถยิงได้ไกลถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ แม้อาวุธเหล่านี้ยังล้าหลังตามเกาหลีใต้และสหรัฐฯ อยู่มาก แต่ก็นับเป็นความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของกองทัพเกาหลีเหนือ
นอกจากการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารแล้ว เกาหลีเหนือได้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรี และประกาศว่าเกาหลีเหนือได้บรรลุความสำเร็จทางเศรษฐกิจ “อย่างน่าภาคภูมิใจ” ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วน เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีศุลกากรต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งประเทศคู่แข่งทางการค้าและประเทศพันธมิตรอันเหนียวแน่นของสหรัฐฯ เอง ทำให้การประกาศความสำเร็จทางเศรษฐกิจดังกล่าวขาดความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยฮุนได (Hyundai Research Institute) ของเกาหลีใต้เมื่อเดือนมกราคมระบุว่า เศรษฐกิจเกาหลีเหนือมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง แต่การเติบโตยังอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากข้อจำกัดทั้งภายในและภายนอก
ความร่วมมือระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียมีความแน่นแฟ้นและขยายขอบเขตในหลายด้านอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการลงนามใน "สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน" (Treaty on Comprehensive Strategic Partnership) ในเดือนมิถุนายน ปี 2024 ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียและผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ต่อมาในเดือนกันยายน 2024 เกาหลีเหนือจึงได้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางเรือขนาดใหญ่ของรัสเซีย "OKEAN-24" ในฐานะผู้สังเกตการณ์เป็นครั้งแรก
การให้ความช่วยเหลือทางทหารร่วมกันเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดของสนธิสัญญา โดยกำหนดว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีด้วยอาวุธ รัสเซียและเกาหลีเหนือจะให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กันในทันทีโดยใช้ "มาตรการทั้งหมดที่มีอยู่ในมือ" ซึ่งยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ระดับพันธมิตรทางทหารอย่างไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ กองทัพทั้งสองประเทศจะต้องแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง สร้างความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารร่วมกัน
เกาหลีเหนือมีดินแดนที่เชื่อมต่อกับรัสเซีย โดยมีเพียงแม่น้ำสายเล็ก ๆ ชื่อว่าทูเมน ขีดกั้นพรมแดนไว้เท่านั้น แต่เดิมที่สะพานเชื่อม 1 เส้น ผู้คนสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ รถไฟ หรือเดินเท้าข้ามไปมาหาสู่กันได้ แต่ทั้งสองประเทศได้ประกาศโครงการการสร้างสะพานแม่น้ำทูเมนอีกเส้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเดิมนัก เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมต่อทางบกและการค้าชายแดนระหว่างสองประเทศ เป้าหมายหลักเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า การเดินทาง และการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ในเดือนมีนาคม 2025 มีรายงานว่าโครงการนี้กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการเริ่มก่อสร้าง โดยได้รับการอนุมัติระหว่างการเยือนเกาหลีเหนือของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินในปี 2024 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการผลักดันโครงการนี้ให้เป็นจริง