จากกรณีที่ นายธนากร ภิรมย์ หรือ "ดำ" เข้าทำร้ายร่างกาย น.ส.กชกร รอดหลัก อายุ 18 ปี จนได้รับบาดเจ็บบริเวณดวงตาข้างซ้าย หลังจากที่ นายธนากร ได้เกิดอารมณ์โกรธแทนเพื่อน ที่มีเหตุทะเลาะวิวาทกับคนขับแท็กซี่ เบื้องต้นผู้ก่อเหตุ ถูกควบคุมตัวฝากขังผลัดแรก และคัดค้านการประกันตัว
ล่าสุด วันนี้ (26 ธ.ค. 60) น.ส.กชกร ยังต้องอยู่ระหว่างการพักฟื้น เนื่องจากดวงตาข้างซ้ายยังถูกปิดด้วยผ้า เพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าดวงตา เมื่อ น.ส.กชกร เปิดผ้าปิดตาให้ทีมข่าวดู พบว่า อาการบอบช้ำบริเวณรอบดวงตาเริ่มจางหายเป็นปกติ แต่ยังมีอาการบวม ส่วนรอยเลือดที่อยู่ภายในตาขาวได้จางหายไปจนหมด
ภายหลังจากเกิดเรื่อง ชีวิตของ น.ส.กชกร เปลี่ยนไป เพราะต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เวลาเดินทางไปมหาวิทยาลัย ต้องให้คนที่บ้านเดินทางไปรับ-ส่ง เนื่องจากไม่รู้ว่า จะมีใครมาทำร้ายหรือไม่
น.ส.กชกร เล่าให้ฟังอีกว่า อาการบาดเจ็บที่มีรอยเขียวช้ำ บริเวณดวงตาเริ่มจางหาย แต่บริเวณใต้ดวงตายังปวด และบวม เมื่อกดบริเวณใต้ดวงตา พบว่ามีก้อนแข็งๆ อยู่ด้านใน คาดว่าน่าจะเป็นเลือดที่คั่งอยู่ การมองภาพขณะนี้ยังเบลออยู่ ประกอบกับก่อนหน้านี้ ตนไม่ได้เดินทางไปหาหมอ แต่เมื่อไปพบภายหลัง หมอได้บอกว่า ตาดำมีรอยขีดข่วน คาดว่าสาเหตุมาจากที่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขึ้น
ตอนนี้ น.ส.กชกร ใช้เพียงตาด้านขวามองเพียงด้านเดียว ซึ่งตนกลัวว่า จะมองไม่ได้ชัดเหมือนเดิม วันพรุ่งนี้ ( 27 ธ.ค.60) แพทย์เฉพาะทางด้านดวงตา ได้นัดตนเข้าไปตรวจดวงตาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ส่วนในวันนี้ ครอบครัว น.ส.กชกร ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน เพื่อคัดค้านการประกันตัว 2 ผู้ก่อเหตุที่ทำร้ายร่างกายไว้อีกด้วย
นอกจากนี้ ทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านพักของ นายธนากร ภิรมย์ หรือ "ดำ" และ นายณัฐวุฒิ รำพึงกิจ หรือ "แฟรงค์" สองผู้ก่อเหตุ เพื่อสอบถามถึงแนวทางการดำเนินคดี และการข่วยเหลือ น.ส.กชกร
ทีมข่าวพบว่า บ้านนายธนากร เปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ปกติ ทีมข่าวพยายามเรียกนานกว่า 10 นาที ปรากฎว่า ไม่มีใครออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันที่บ้านนายณัฐวุฒิ หรือ "แฟรงค์" พบว่ามีผู้หญิงอยู่ที่บ้าน ซึ่งไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นญาติฝ่ายใด บอกเพียงว่า ตัวเองไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะพ่อของแฟรงค์ เป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด จึงไม่มีข้อมูลที่จะให้กับทีมข่าว และได้เดินกลับเข้าไปในบ้านพัก
ทางด้าน นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เปิดเผยว่า การที่ครอบครัวผู้เสียหาย ได้ยื่นคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาผลัดที่ 2 ทางครอบครัวผู้ต้องหา ไม่มีแนวทางการต่อสู้ในคดีดังกล่าว เนื่องจากภาพคลิปวิดีโอที่ปรากฏออกมานั้นชัดเจน ทำให้ทางผู้ต้องหา ต้องจำนงด้วยหลักฐาน ซึ่งหลักความเป็นจริง ทางผู้ต้องหาต้องให้การรับสารภาพ และให้ศาลพิพากษาโดยที่ไม่ยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกา เพื่อให้คดีเสร็จสิ้นโดยเร็ว จะได้ขอสิทธิ์เพื่อลดโทษหรืออภัยโทษได้
ส่วนการที่มีการตรวจสอบประวัติ ทางผู้ต้องหาไม่มีคดีติดตัว และให้การรับสารภาพ ผู้ต้องหามีสิทธิ์ในการประกันตัว ถ้ามีการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ เพราะถือว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ทั้งนี้ การที่ผู้เสียหาย อาจจะไม่มีดวงตากลับมาเป็นปกตินั้น ทางผู้ต้องหาก็จะไม่ได้รับโทษเพิ่ม เพราะทางศาลได้พิเคราะห์และแจ้งความผิดเป็นที่เรียบร้อย จึงถือว่าทุกอย่างสิ้นสุด ยกเว้นเรื่องค่ารักษาที่อาจมีการดำเนินการในส่วนของคดีแพ่ง