วันที่ 25 ก.ค. 63 ที่ สภ.กกตูม พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร เเละ พ.ต.อ.วิจิตร บุญวรรณ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร เเถลงการจับกุมนายสุพล อายุ 55 ปี ผู้ต้องหากระทำอนาจารเด็กหญิงวัย 3 ขวบ
ตำรวจได้นำของกลาง เสื้อผ้าของผู้ต้องหาที่ใส่ในวันก่อเหต ประกอบด้วยเสื้อกีฬาเเขนสั้น สีส้ม 1 ตัว, กางเกงขายาวลายทหาร 1 ตัว, กางเกงบ็อกเซอร์สีน้ำเงิน ลายการ์ตูนสีเหลือง 1 ตัว, กางเกงใน สีน้ำเงิน 1 ตัว, เสื้อผ้าของน้องมะม่วงที่ใส่ในวันเกิดเหตุ เป็นเสื้อสีเหลือง ลายการ์ตูนผึ้ง 1 ตัว เเละกางเกง สีฟ้า 1 ตัว โดยตำรวจจะนำเสื้อผ้าดังกล่าวไปตรวจดีเอ็นเอว่าตรงกันหรือไม่ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดี
พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า หลังจากที่พ่อกับเเม่เด็กแจ้งความกับตำรวจ สภ.กกตูม ว่าลูกสาว อายุ 3 ขวบ ถูกนายสุพลล่วงละเมิดทางเพศ ตำรวจจึงนำตัวนายสุพลมาทำการสอบปากคำ ตอนเเรกนายสุพลให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังจำนนด้วยหลักฐาน ยอมรับสารภาพว่าล่วงละเมิดเด็ก โดยการใช้นิ้ว และศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติหมายจับ ในข้อหากระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เพียงข้อหาเดียวก่อน เนื่องจากต้องรอผลตรวจจากเเพทย์ หลังจากนี้หากพบว่านายสุพลมีการใช้อวัยวะเพศจะเเจ้งเพิ่มในข้อหา "ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี"
เบื้องต้นได้นำตัวเด็ก ไปตรวจร่างกาย พบของเหลวในช่องคลอด เเต่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นอสุจิ และได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจสารคัดหลั่ง เพื่อนำไปเทียบดีเอ็นเอ ส่วนข้อมูลจากครอบครัวระบุว่าเด็กเจ็บอวัยวะเพศตั้งเเต่อายุขวบครึ่ง แต่ผู้ต้องหารับสารภาพเพียงครั้งนี้ เเต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ
จากนั้นเวลา 14.30 น. นำตัวนายสุพลไปทำเเผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ภายในร้านค้าของผู้ต้องหา สภาพเป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีชาวบ้านมายืนมุงดูเป็นจำนวนมาก นายสุพลใส่หมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้า ทันทีที่ตำรวจนำตัวลงจากรถ ผู้สื่อข่าวถามถึงมูลเหตุจูงใจ และทำเด็กกี่ครั้ง แต่นายสุพลทำเพียงส่ายหน้า พูดสั้น ๆ ว่า "ไม่ขอตอบครับ"
จากนั้นตำรวจนำตัวนายสุพลเข้าไปในร้านค้าเพื่อจำลองพฤติการณ์ ใช้หมอนเเทนตัวเด็ก 3 ขวบ นายสุพลระบุว่าได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้สีเเดงในร้าน จากนั้นเด็กเดินมาซื้อขนม นายสุพลได้ให้ขนมเด็ก 1 ห่อ เเล้วดึงตัวเด็กมานั่งตัก เเล้วล่วงละเมิดโดยการใช้นิ้ว เเต่ทำไม่นาน เพราะเด็กร้องเเละวิ่งหนีก่อน หลังจากก่อเหตุนายสุพลมีการตัดเล็บ ตำรวจถามถึงสาเหตุที่ตัดว่ากลัวความผิดใช่หรือไม่ นายสุพลอ้างว่า เล็บดำจึงต้องตัด ตำรวจถามอีกว่าเคยทำเเบบนี้มาก่อนหรือไม่ นายสุพลตอบว่าไม่เคยทำ และไม่ได้ข่มขู่เด็ก
หลังจากทำเเผนในร้านค้าเสร็จ ใช้เวลาเพียง 10 นาที ตำรวจกำลังนำตัวนายสุพลไปขึ้นรถเพื่อจะเดินทางกลับ สภ.กกตูม เกิดเหตุชุลมุนขึ้น พ่อของน้องมะม่วงที่อยู่ในอารมณ์โกรธเเค้นอย่างหนัก น้ำตาซึม พยายามวิ่งปรี่เพื่อหวังจะทำร้ายร่างกายนายสุพล เเต่ตำรวจได้กั้นไว้ทัน จากนั้นญาติ ๆ ได้ดึงตัวคุณพ่อน้องมะม่วงเข้าบ้าน
ซึ่งหลังจากทำเเผนเสร็จ พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งชาวบ้านก็มีการสะท้อนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งเเรก รู้สึกไม่ปลอดภัย
ซึ่งหลังจากที่ตำรวจนำตัวผู้นายสุพล ผู้ต้องหา ออกจากพื้นที่ ภรรยาของนายสุพล ได้เดินร้องไห้โฮ ก่อนจะเป็นลมเเล้วนอนลงที่เเคร่ไม้หน้าบ้าน ชาวบ้านเเละผู้สื่อข่าวต้องช่วยกันพัดเเละหายาดมให้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายสุพล ผู้ต้องหา ถูกควบคุมอยู่ที่ สภ.กกตูม โดยพนักงานสอบสวน จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมุกดาหารในวันที่ 26 ก.ค. 63
หลังจากฟื้นจากการเป็นลม ภรรยาของนายสุพลพาทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เปิดบ้านดูตู้เสื้อผ้า โดยระบุว่าทั้งบ้าน มีเสื้อที่มีสีส้ม 3 ตัว
เสื้อเเขนยาวคูโบต้า สีส้ม ซึ่งคนที่รู้จักให้มาหลายปีเเล้ว คนที่ใส่คนเดียวคือตัวภรรยา เเต่ใส่เเค่ครั้งเดียว เเล้วไม่ได้เอาออกจากตู้อีกเลย ตัวที่สองคือเสื้อกีฬาเเขนยาว สีกรมท่า เเถบสีส้ม ซื้อมาจากตลาดนัด 120 บาท คนที่ใส่เพียงคนเดียวคือนายสุพล และตัวที่สาม คือเสื้อกีฬาสีส้ม เเขนสั้น ที่นายสุพลใส่วันก่อเหตุ
ภรรยานายสุพล เปิดเผยว่า ตอนนี้สิ่งืั้กังวลคือไม่มีเงินใช้จ่าย เพราะสามีเป็นเสาหลักในการหาเงิน ส่วนเรื่องคดีก็ปล่อยไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ตนคงไม่มีปัญญาไปประกันตัว
เมื่อถามว่าโกรธนายสุพลหรือไม่ ภรรยากล่าวว่า "ไม่โกรธ ถึงเเม้จะเกลียดจะชัง หรือจะชั่วจะดีเเค่ไหน ก็ผัว อายุเราขนาดนี้เเล้ว ถ้าพ้นโทษก็พร้อมให้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เเต่ยังไม่อยากเห็นหน้าเขาตอนนี้ เพราะกลัวจะเป็นลมอีก"
ซึ่งวันนี้ตนรู้สึกทราบซึ้งใจ ที่มีชาวบ้านมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ขอบคุณชาวบ้านทุกคนที่เข้าใจเเละเเยกเเยะว่าเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล ตนขอฝากถึงนายสุพลว่ายังรักเเละคิดถึงเหมือนเดิม ให้รักษาสุขภาพตัวเองให้ดี
ยายของน้องมะม่วง (นามสมมติ) 3 ขวบ เปิดเผยว่า หลังจากที่ตำรวจมีการนำตัวนายสุพลไปดำเนินคดี ตนก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ยังกังวลก็คือเป็นห่วงหลาน เพราะไม่ทราบว่านายสุพลจะติดคุกกี่ปี หากนายสุพลพ้นโทษออกมา ก็กลัวว่าหลานจะไม่ปลอดภัย ที่ผ่านมาเคยรักและไว้ใจนายสุพลมาก เห็นว่าเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงนับถือกันเหมือนญาติพี่น้อง แต่กลับมาทำแบบนี้ "ก่อนหน้านั้นก็ดูเป็นคนดี แต่เมื่อดื่มเหล้าก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน พูดมาก พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง" ทั้งนี้ ตอนนี้หลานอยู่ในความดูเเลของ พม. ตนก็คลายความกังวลไประดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวกลัวว่าหลานจะมีปมด้อย เพราะการกระทำของนายสุพลเป็นการสร้างตราบาปให้กับเด็ก
นอกจากนี้ ตนขอฝากถึงนายสุพลว่า "ขอให้ติดคุกไปจนวันตาย ทำเรื่องชั่ว ๆ เเบบนี้กับเด็กที่เปรียบเหมือนลูกเหมือนหลานได้ยังไง ฉันนับถือเเกเหมือนญาติพี่น้อง เสียเเรงที่รัก เสียเเรงที่เคยสงสาร ถ้าไม่ทำกับหลานก็คงทำกับเด็กคนอื่น ขอให้นอนอยู่ในคุกตลอดไปเลย ยายเสียใจมาก เเค้นมาก อยากฆ่านายสุพลให้ตาย เพราะยายรักชีวิตหลานมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก"
พ่อน้องมะม่วง (นามสมมติ) กล่าวว่า หลังจากตำรวจนำตัวนายสุพลไปดำเนินคดี ตอนนี้มีความสบายใจเเค่ 50% เพราะยังเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจลูก คิดว่าคงถูกนายสุพลล่วงละเมิดมาหลายครั้ง "ผมขอพูดตรงนี้กับอมรินทร์ ทีวี ที่เดียว ที่ผ่านมาผมทำตัวเหมือนคนบ้าที่ไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่จริงผมรู้ว่าลูกผมโดนกระทำ เเต่ผมทำอะไรใครไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน ผมอัดอั้นมานาน" ตอนนี้จึงขอความเป็นธรรม ให้นายสุพลได้รับโทษตามกฎหมาย เพราะพฤติกรรมยิ่งกว่าสัตว์นรก
ทั้งนี้ ตอนนี้ลูกสาวอยู่ในความดูเเลของ พม. สภาพจิตใจลูกก็ดีขึ้น เเต่ถ้าหากเสร็จสิ้นกระบวนการเยียวยาจิตใจเเล้ว ตนก็จะขอรับลูกมาอยู่ในความดูเเลเหมือนเดิม "เพราะถึงผมจะจนเเค่ไหน ขอให้ผมได้เลี้ยงลูกผมดีกว่า" ส่วนนายสุพล ถ้าหากวันใดพ้นโทษ ก็ขอให้มีจิตสำนึกเสียบ้าง เเละอย่ามาวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวตนอีก ต่างคนต่างอยู่ นอกจากนี้ กรณีน้องชมพู่ ตนเองก็ไม่เชื่อว่านายสุพลจะเกี่ยวข้อง เพราะเห็นเขาเปิดร้านขายของทุกวัน
พี่เขยของนายสุพล กล่าวว่า ตนคาดไม่ถึงว่านายสุพลจะก่อเหตุ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมีพฤติกรรมลักษณะนี้ หากเมาก็จะพูดจาตัดพ้อความลำบากของชีวิต ไม่เคยพูดเรื่องลามก ตอนนี้ตนรู้สึกอับอายมาก เวลาขับรถไปที่ไหน มีชาวบ้านถามข่าวก็ยิ่งรู้สึกอับอาย ถึงขั้นอยากมุดเเผ่นดินหนี ตนขอยืนยันว่าครอบครัวจะไม่ประกันตัวเด็ดขาด อยากให้เจ้าหน้าที่ประหารชีวิตนายสุพลทิ้ง เพราะพฤติกรรมสร้างความเสื่อมเสียให้ญาติพี่น้องมาก
ส่วนกรณีน้องชมพู่ ตนมั่นใจว่านายสุพลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะนายสุพลไม่มีรถ ไม่เคยขึ้นเขา ไม่เคยไปหมู่บ้านกกกอกด้วย ซึ่งตนก็เห็นนายสุพลเปิดร้านขายของทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไปก่อเหตุ
นางสง่า สมจินดา ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ตนเองกับนายสุพลเป็นเพื่อน อสม.ด้วยกัน ที่ผ่านมานายสุพลเป็นคนอัธยาศัยดี มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลืองานส่วนรวมมาโดยตลอด เเต่ช่วงหลัง ๆ นายสุพลชอบดื่มเหล้าทำให้นิสัยเปลี่ยนไป ก็ไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุเเบบนี้ เเละเหตุการณ์นี้ถือเป็นครั้งเเรกในหมู่บ้าน ตนเสียความรู้สึกมาก ที่มองคนผิดไป หากนายสุพลพ้นโทษออกมาก็กลัวว่าจะมาก่อเหตุกับเด็กคนอื่นอีก เพราะในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีเเต่เด็กผู้หญิง
นางสง่า สมจินดา ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ตนไม่เชื่อว่านายสุพลจะเกี่ยวข้องกับคดีน้องชมพู่ เพราะด้วยระยะทางที่ไกลกันเกือบ 40 กิโลเมตร นายสุพลไม่มีรถ การเดินทางจึงถือว่าลำบาก นอกจากนี้วันที่ 10-12 พ.ค. 63 อสม.ไม่มีภารกิจใด ๆ ตนเห็นนายสุพลเปิดร้านค้าขายของตามปกติทั้งวัน ไม่ได้ไปไหน อีกทั้งนายสุพลไม่เคยขึ้นเขา ไม่เคยเข้าป่า อาชีพเพียงอย่างเดียวคือเปิดร้านค้า ดังนั้นจึงคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวโยงกันได้
นอกจากนี้ พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร กล่าวถึงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องเสื้อส้ม ว่าขณะนี้มีการตัดทิ้งไปแล้ว เนื่องจากกรณีดังกล่าว เป็นการสับสนเรื่องเวลาของพยาน ซึ่งช่วงเวลาที่พบเห็นคือหลังเที่ยงไปแล้ว เป็นช่วงที่คนกำลังค้นหา
ประเด็นต่อมาคือเรื่องเสื้อส้มที่พบล่าสุด ซึ่งมีผู้ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเจ้าของ ได้เป็นของแถมจากการซื้อรถไถ มีการใส่ไปหาหน่อไม้แล้วเกิดอาการคันจึงถอดทิ้งไว้หลายเดือนแล้ว แต่ทั้งนี้ได้มีการเก็บดีเอ็นเอเจ้าของเสื้อ และส่งเสื้อตัวดังกล่าวไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานกลางแล้ว
ประเด็นสุดท้ายคือกรณีที่มีคนนำภาพเสื้อสีส้มที่ปรากฎในรูปถ่ายของแม่น้องชมพู่ไปตั้งข้อสงสัยนั้น ชี้แจงว่าตำรวจได้มีการตรวจสอบแล้ว พบว่าเสื้อตัวดังกล่าวยังอยู่ที่บ้านแม่น้องชมพู่ ไม่ได้หายไปไหน
นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ เปิดเผยว่า กรณีเจ้าหน้าที่ตัดประเด็นเรื่องเสื้อส้มออก ตนเองก็คิดว่าเจ้าหน้าที่คงมีเหตุผล มีหลักฐานที่จะอธิบายได้ ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวล ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตำรวจหากทำงานรอบคอบแล้ว ส่วนเรื่อง 3 ประเด็น เรื่องการอนาจาร ความขัดแย้ง และยาเสพติดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งไว้ ตนเองคิดว่าหากเจ้าหน้าที่ทำงานรอบด้านคงจะสาวไปถึงกรณีที่กล่าวมาได้ และพ่อแม่ชมพู่น่าจะตอบได้ดีมากที่สุดว่ากรณีไหนที่จะเข้าข่ายเกี่ยวกับเรื่องคดีความ
ส่วนตัวยืนยันได้เพียงว่าน้องชมพู่คงไม่มีความขัดแย้งกับใคร เพราะเขาเด็กมาก อาจจะเกี่ยวก็ต้องอยู่ที่ผู้ใหญ่ผู้ปกครอง
