อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐานในคดี "บอส อยู่วิทยา" ไม่เห็นด้วยกับอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง เชื่อ "ดาบวิเชียร" ไม่ได้ขับรถปาดหน้า ขอให้รื้อคดี
จากกรณีที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 แถมยังหลุดในทุกข้อหาของคดีนี้ และเตรียมถอนหมายจับ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง บอส อยู่วิทยา
- สตม.ยืนยัน "บอส อยู่วิทยา" ยังอยู่ต่างประเทศ
- เผย 2 พยานปากเอกทำคดีพลิก อัยการสั่งไม่ฟ้อง "บอส อยู่วิทยา"
- ศาล รธน. เผย ตุลาการชี้คดี “บอส” หลุดข้อหาสะเทือนระบบยุติธรรม อิงที่มาข้อเขียนทางวิชาการ
- กลุ่มธุรกิจ TCP แจง "บอส อยู่วิทยา" ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท
- "หมอแท้จริง" จี้อัยการ-ตำรวจแจงไม่ฟ้อง "บอส อยู่วิทยา"
- อดีตสารวัตรทำคดี "บอส อยู่วิทยา" แฉยับหลักฐานชัดดันหลุดคดีบิ๊กแจ๊สจี้ผู้มีอำนาจแจง (คลิป)
- สื่อนอกตีข่าว "บอส อยู่วิทยา" รอดทุกข้อหาคดีชนตร.ตาย
- "บอส อยู่วิทยา" หลุดทุกข้อหา คดีชนตำรวจตาย
ล่าสุดทีมข่าว ได้พูดคุยกับพันตำรวจตรีชวลิต เลาหอุดมพันธ์ อดีตนักวิทยาศาสตร์ กลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้พิสูจน์หลักฐานคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05:35 น. ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนั้นรถเฟอร์รารี่คันก่อเหตุ ได้หลบหนีไป จนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตามร่องรอยของเหลวไป ไม่ใช่เลือด แต่เป็นหม้อน้ำของรถ จนไปล้อมจับกุม ทางฝ่ายของนายบอส พ่อบ้านออกมาแต่ทางตำรวจไม่ยอมจนได้ตัวของนายบอสมา และได้มีการตรวจดีเอ็นเอ สามารถระบุได้ว่านายบอสเป็นผู้ขับรถชนดาบวิเชียร
ซึ่งคดีนี้ถือว่ายาวนานมาก และในปี 2555 เป็นว่าการสืบสวนสวบสวนที่กำลังดี มีการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด มีการตรวจเลือดถึง 2 โรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรามา โรงพยาบาลตำรวจ พอเวลาล่วงเลยมายาวนานจนปี 2557 เริ่มมีพยานขึ้นมา
ทั้งนี้ ต้องดูน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ที่บอกว่าดาบวิเชียรปาดหน้า ซึ่งหากประชาชนดูกล้องวงจรปิด ก็จะตัดสินเองได้กับการให้คำของพยานดังกล่าว
จากการที่ดูสภาพรถและร่างของดาบวิเชียรนั้น บ่งบอกแนวทางการเคลื่อนเป็นเส้นตรงขนานกับรถ ถือว่าเป็นการชนเข้าด้านหลัง ไม่ได้ชนมาในแนวเฉียง และตนไม่คิดว่าเป็นการเปลี่ยนเลนกระทันหัน เพราะขณะที่ชนนั้นรถยังเป็นเส้นตรง ตำแน่งของรอยขูดขีดบนท้องถนน และด้านข้างของรถจักรยานยนต์ไม่ได้มีสภาพที่บุบยุบ
ส่วนประเด็นความเร็วจากก่อนหน้านั้นได้ 177กม.ต่อชม. ซึ่งเป็นการตรวจวัดของกองพิสูจน์หลักฐาน ไม่ใช่ตัวของบุคคลคนเดียว โดยเป็นตัวเลขจากทีมทำงาน ต้องผ่าน ผู้บังคับบัญชาหลายลำดับชั้น ก่อนจะถึงผู้บังคับบัญชาการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งจะเป็นคนเซ็นคนสุดท้ายแล้วผลจะออกไปยังสถานีตำรวจ พนักงานสอบสวน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปจนมาถึง 2559 ได้มีการพูดตัวเลขขึ้นมาใหม่
ตนอยากถามกลับไปว่าทำไมตัวเลขถึงเปลี่ยน ตัวเลขที่เปลี่ยนไปมีวิธีการคิดคำนวณอย่างไร และตัวเลขเดิมผิดอย่างไร ส่วนรอยบาดแผลในตัวของบอสนั้น ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าขับรถด้วยความเร็วเท่าไหร่ เนื่องจากร่องรอยบาดแผลไม่สามารถบ่งบอกตัวเลขของอัตราความเร็วได้ ด้านผลตรวจเลือดออกมาพบสารเสพติดโคเคนนั้น ตนไม่ทราบ เนื่องจากว่าการทำงานแบ่งตามความชำนาญของเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย
ทั้งนี้หลังอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง "ตนไม่เห็นด้วยและไม่พอใจ" เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนเป็นคนทำงานอย่างละเอียดและเหนื่อย ตนอยากให้การทำงานเกิดผล ซึ่งคดีนี้เป็นคดีใหญ่ คดีสำคัญ มีคนทำงานหนัก
ทางสังคมต้องมีการคาดหวังว่าจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และตามขั้นตอนแล้วอยากให้รื้อฟื้นทำคดีใหม่