ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร เปิดเผยว่า ตลอด 1-2 เดือนนี้ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกหนักต่อเนื่อง ในบางพื้นที่ จึงเป็นผลให้หลายพื้นที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม/ หรือได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้าง ทั้งอาคารสาธารณะ บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และตลาด ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอันตรายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สภาวิศวกร จึงมีข้อเสนอแนะในการสังเกต 5 จุดเสี่ยงของสิ่งปลูกสร้าง พร้อมแนวทางการตรวจสอบและป้องกันภัยด้วยตนเองเบื้องต้น ดังนี้
1. หลังคาบ้าน จุดแรกที่ต้องสัมผัสและรองรับเม็ดฝนที่ตกกระทบจำนวนมาก และในบางกรณีที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้หลังคาเกิดการผุกร่อน หรือกิ่งไม้ที่หล่นลงมากระทบหลังคา อาจสร้างความเสียหายได้ ดังนั้น ในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง ควรหมั่นตรวจสอบรอยรั่วของหลังคาเสมอ โดยสามารถเลือกใช้แผ่นปิดรอยต่อ หรือเทปกันซึม เบื้องต้นได้
2. ท่อระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังโดยรอบบ้าน ประชาชนจะต้องเตรียมท่อระบายน้ำหรือวางเส้นทางน้ำให้ชัดเจน กรณีที่มีท่อระบายน้ำเดิม จะต้องสำรวจว่ามีการชำรุด/ อุดตันของดินโคลนและสิ่งสกปรกหรือไม่ ทั้งนี้ หากมีการชำรุดหรืออุดตัน จะเป็นผลให้เกิดการขังของน้ำบริเวณโดยรอบบ้าน หรือการระบายน้ำได้อย่างทันท่วงที
3. ระบบไฟฟ้า/ อุปกรณ์ไฟฟ้า หมั่นสำรวจสภาพสายไฟฟ้า รวมถึงระบบไฟฟ้าที่ต่อเข้าภายในบ้านว่า ยังอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยหรือไม่ กรณีที่พบอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่ในสภาพชำรุดต้องเร่งซ่อมแซม หรือกรณีที่เสี่ยงต่อไฟรั่ว สามารถใช้ไขควงลองไฟทดสอบด้วยตนเองเบื้องต้นได้ รวมถึงกรณีที่สายไฟบนเสาไฟฟ้า อยู่ในสภาพขาดห้อย ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด ต้องรีบติดต่อเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าในพื้นที่เข้ามาแก้ไขโดยเร็ว
4. รั้วบ้าน หากฐานรั้วบ้านไม่มั่นคง ล้ม เอียง เสี่ยงต่อการล้มทับ สามารถซ่อมแซมชั่วคราวได้ด้วยการถมดิน/ ถุงทรายอัดแน่น หรือกรณีรั้วมีแนวโน้มทรุดเอียง สามารถทำค้ำยันรั้วเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันรั้วล้ม จากนั้นจึงติดต่อช่างผู้ชำนาญการมาปรับปรุงให้มั่นคงและแข็งแรงยิ่งขึ้น
5. ฐานรากของบ้าน อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ไม่ควรละเลย และตรวจสอบความแข็งแรงเสมอ เพราะหากพื้นดินโดยรอบตัวบ้าน/ ฐานบ้านเป็นดินร่วน หรือมีความหนาแน่นต่ำ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวของบ้าน หรือในกรณีที่ฐานรากของบ้านเกิดจากการสร้างโดยไม่มีเสาเข็ม อาจจะเป็นผลให้ดินใต้ฐานบ้าน ถูกกระแสน้ำกัดเซาะและไม่สามารถรองรับบ้านได้ในระยะยาว จำเป็นต้องเร่งซ่อมเร่งด่วน
นอกจากนี้ ประชาชนต้องหมั่นสังเกตต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้บริเวณบ้านว่า เสี่ยงต่อการหักโค่น ล้มทับบ้าน หรือสายไฟฟ้าหรือไม่ ซึ่งในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง ควรจัดหาหรือประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาทำการตัดแต่ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนที่มีข้อสงสัยในการซ่อมแซมบ้าน หรือตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าภายในบ้าน สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาจาก สภาวิศวกรได้ที่ 1303