จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ม.ค.61 นายอรรถพล พร้อมภรรยา ได้ไปส่งลูกที่โรงเรียนบ้านฟากนา ต.นาอาน อ.เมือง จ.เลย ขณะนำลูกไปส่ง ได้มีชายฉกรรจ์ 4 คน ใช้ปืนบังคับให้ขึ้นรถเก๋งสีดำ สร้างความตกใจให้แก่ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน จากนั้นชายฉกรรจ์พาหลบหนีไปทาง อ.วังสะพุง เวลาต่อมา นายอรรถพล พร้อมกับภรรยาและลูก ถูกปล่อยลงกลางทาง แล้วได้มาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับชายฉกรรจ์ 4 คน
หลังจากนั้นช่วงเย็นวันที่ 20 ม.ค. ศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 2 คนคือ นายขวัญชัย ผ่องใส อายุ 33 ปี และ นายอุเทน ยังศิริ อายุ 34 ปี ในข้อหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อพาทรัพย์นั้น หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม, ร่วมกันข่มขืนใจ, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ, ร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือมีเหตุเร่งด่วน
ล่าสุด วันนี้ ทีมข่าวเดินทางไปยัง ซอยเคหะร่มเกล้า ย่านลาดกระบัง บ้านของนายอุเทน ได้พูดคุยกับ นายสุด (นามสมมติ) ซึ่งเป็นพี่ชาย นายอุเทน ยืนยันกับทีมข่าวว่า น้องชายนิสัยดี รักเพื่อนฝูง เรื่องเกเรไปทำร้ายคนอื่นไม่มี เพราะน้องชายไม่ใช่คนเกเร ถ้ามีคนมาหาเรื่องน้องชายถึงจะสู้ โดยน้องชาย ทำงานเป็นช่างซ่อมบำรุง อยู่ในเต็นท์รถ ส่วนตัวเพิ่งรู้ว่า น้องชายโดนหมายจับวันนี้ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ตนเองรู้ตั้งแต่วันศุกร์ (19 ม.ค.) ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นายสุด ยืนยันว่า น้องชายไม่ได้เป็นมือปืน ข่าวนี้ไม่เป็นความจริง เบื้องต้นน้องชาย จะไปมอบตัววันอังคาร (23 ม.ค.) กับคุณเก่ง เจ้าของเต็นท์รถ พร้อมทนายความ
น้องชาย เล่าให้ตนเองฟังว่า ไม่ได้ไปทำอะไรคู่กรณี เพียงแค่ไปเชิญตัวออกมาจากโรงเรียน และได้ไปแวะร้านเครื่องเขียน โดยเพื่อนน้องชาย ไปซื้อหนังสือสัญญาในร้านเครื่องเขียน ซึ่งเจ้าของร้านเคยให้การกับตำรวจแล้วว่า มีผู้ชายมาขอซื้อสมุด ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย เพียงแค่พูดคุยกัน เจ้าของร้านยังคิดว่า คงเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน แล้วประกันมาเจรจา
น้องชาย ยืนยันกับตนเองว่า ได้ถ่ายรูปถ่ายคลิปวิดีโอขณะทำสัญญา โดยหลังจากที่น้องชาย ยึดรถไปแล้ว น้องชายยังให้เงินคู่กรณี เป็นค่ารถกลับบ้านอีก 1,000 บาท ที่หน้าร้านเครื่องเขียน โดยลักษณะคู่กรณีไม่มีท่าทีว่า หวาดกลัวอะไร แต่พอน้องชายกลับไป คู่กรณีกลับไปแจ้งความตำรวจ นายยอด ยังฝากบอกเจ้าหน้าที่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ น้องของตนไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน
ส่วน นายขวัญชัย ผ่องใส อายุ 33 ปี คนที่โดนออกหมายจับ ยอมรับว่า รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ปกติไม่ค่อยได้คุยกัน และไม่ทราบว่าปัจจุบันไปอยู่ที่ไหน รู้เพียงแค่ทำงานที่เต้นท์รถกับน้องชาย ที่ผ่านมา 2 คนนี้ ไม่เคยไปก่อเหตุรุนแรงมาก่อน มีเพียงแค่เรื่องชกต่อยในสมัยวัยรุ่นเท่านั้น และยืนยันว่า "น้องเป็นคนตรง ทำต่อหน้าไม่ทำลับหลัง เป็นคนตรงๆ นักเลงพอ"
ทีมข่าวเดินทางมาพบ นายเก่ง และ นายเม่น เจ้าของเต็นท์รถ "เก่งเซียนรถ" ได้เปิดเผยหลังเจ้าหน้าที่ออกหมายจับว่า ตนขอความเป็นธรรม อยากให้ฟังข้อมูลจากฝั่งตนด้วย ในฐานะที่ตนก็เป็นผู้เสียหายจาก นายอรรถพล และภรรยา
นายเก่ง ให้ข้อมูลว่า นายอรรถพล และ น.ส.ศิรินทรา ซึ่งเป็นลูกค้าที่นำรถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส คันต้นเหตุ มาจำนำไว้ที่ตน เมื่อช่วงเดือน ต.ค. 60 โดย น.ส.ศิรินทรา ผู้เป็นภรรยา เป็นคนติดต่อมาว่า ต้องการวงเงิน 150,000 บาท แต่ตนประเมิน ไว้เพียง 130,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 บาท ตามกฎหมาย
จากนั้น น.ส.ศิรินทรา ก็ได้ส่งดอกเบี้ยกับตนตามปกติ จากนั้นวันที่ 29 ธ.ค.60 น.ส.ศิรินทรา มีการนัดหมายขอไถ่รถคืน โดย น.ส.ศิรินทรา อ้างว่าเดินทางมาเพียงลำพัง ไม่สะดวกเดินทางมาที่เต็นท์ และขอนัดหมายไปรับรถที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ย่านถนนรามคำแหง
จากนั้นลูกน้องตน ได้นำรถออกไปส่งมอบให้ฝ่าย น.ส.ศิรินทรา แต่ปรากฏว่า น.ส.ศิรินทรา อ้างขอไปกดเงินที่ธนาคารที่อยู่ใกล้เคียง หลังจากนั้นลูกน้องตน ได้ถูกชาย 2 คนเข้ามาใช้อาวุธปืนจี้ แต่ลูกน้องตนไม่โดนทำร้าย และหลบหนีออกมาได้ ก่อนที่ น.ส.ศิรินทรา จะใช้กุญแจรถสำรองที่มีอยู่กับตัว ขับรถหลบหนีไป
ภายหลังเกิดเรื่องนายเก่งได้เดินทางไปแจ้งความแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่า หลักฐานยังไม่เพียงพอจะรับเป็นคดีความ ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งระหว่างที่หาหลักฐาน นายเก่งได้โพสต์ตามหา 2 สามี-ภรรยาคู่นี้ ก่อนจะมีคนส่งข้อมูลให้ว่าทั้งคู่อยู่ที่จังหวัดเลย จึงติดตามไปและเกิดเรื่องดังกล่าว
เจ้าของเต็นท์รถยืนยันว่า ทั้ง 4 คนที่ไปก่อเหตุไม่ได้เป็นโจร หรือมือปืนแต่อย่างใด ทุกคนเป็นช่างเทคนิคของเต็นท์รถ ทุกวันนี้ก็กลับมาทำงานอยู่ที่เต็นท์รถ ตนให้ไปไกล่เกลี่ยกับคู่กรณี ไม่ได้มีการข่มขู่ ไม่มีการใช้อาวุธปืน และอาวุธใดๆ เลย พร้อมตั้งคำถามกลับว่าหากพวกตนมีปืนจริงๆ การเดินทางระหว่างกรุงเทพ ถึง จ.เลย น่าจะไม่พ้นการตรวจค้นของเจ้าที่ตามด่านตรวจ อีกทั้งวันที่พวกตนเดินทางไป จ.เลย ยังมีใบสั่งปรับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกตรวจค้นรถ เหตุเพราะไม่มี พ.ร.บ.ซึ่งก็ไม่มีการตรวจพบอาวุธปืนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ยืนยันว่าสิ่งที่ตนทำลงไป เพียงเพราะตนถูกโกงจาก 2 สามีภรรยา ตนนอนไม่หลับอยู่ 2 เดือน พอมีคนให้เบาะแสพบ 2 สามีภรรยา ตนจึงรีบให้คนไปขอไกล่เกลี่ย ก่อนหน้านี้ตนเคยเข้าแจ้งความกับตำรวจแล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า เมื่อตนพบตัวลูกหนี้จึงขอไปพูดคุย เพียงอยากได้เงินคืนเท่านั้น หลังเกิดเรื่องพบมีผู้เสียหายอีกหลายคนที่ถูกคู่กรณีไปหลอก จากการตรวจสอบพบคู่กรณีครอบครองรถยนต์ถึง 9 คัน แต่ไม่ทราบรถทั้งหมดไปอยู่ไหน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางชัน ที่จะพาตัวทั้ง 2 คนที่ถูกออกหมายจับ เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป