กรณีทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นางกะทิ (นามสมมติ) ชาวบ้านอีกคนที่เห็นชายปริศนาสวมหมวกไหมพรมสีม่วง โดยนางกะทิ เล่าว่า วันที่ 11 พ.ค.63 ช่วงเวลาประมาณ 7 โมงกว่า ๆ ตนเห็นชายปริศนา รูปร่างสันทัด ขี่รถจักรยานยนต์ไปทางโรงเรียนกกกอก ท่าทีดูลุกลี้ลุกลน มองซ้ายมองขวาตลอดเวลาจนผิดสังเกต ซึ่งการเเต่งกาย สวมหมวกไหมพรมสีม่วง สภาพใหม่ สวมเสื้อเเขนยาวโทนสีขาว สวมกางเกงยีนส์ขายาวโทนสีฟ้า รองเท้าสีดำ คล้ายกับรองเท้าขึ้นเขา ส่วนรถที่ใช้ คล้าย ๆ กับยี่ห้อฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงินขาว ไม่ติดเเผ่นป้ายทะเบียน
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
จากนั้นเวลาประมาณ 8 โมงกว่า ๆ รถคันเดิมกลับมาอีกรอบ คราวนี้มีชายอีกคนรูปร่างเล็กกว่าซ้อนท้ายมา การเเต่งกายคล้ายกันคือเสื้อเเขนยาวโทนสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวโทนสีฟ้า สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว สวมหมวกไหมพรมสีม่วง สภาพใหม่เหมือนกัน เเล้วเลี้ยวเข้าไปในซอย 3 โดยซอยดังกล่าวสามารถทะลุสวนยางพาราของนายเเต เเละไปถึงบ้านน้องชมพู่ได้
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที รถคันดังกล่าวขับออกมาจากซอย เเต่คราวนี้นั่งรถมา 3 คน มีการเปลี่ยนคนขับ โดยชายที่รูปร่างเล็กกว่าขับ มีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นั่งตรงกลาง มือเด็กทั้งสองข้างกำเสื้ออยู่ที่ตำเเหน่งเอวของคนขับ
เด็กสวมเสื้อกล้ามสีขาว ส่วนกางเกงจำสีที่เเน่ชัดไม่ได้ คล้ายสีน้ำเงินหรือสีเขียว มีลายการ์ตูน สวมรองเท้าเเตะสีฟ้า ซึ่งตนไม่เห็นหน้าเด็ก เพราะเด็กหันหน้าไปอีกฝั่ง เเต่เด็กนั่งนิ่ง ไม่ได้มีการดิ้นเเต่อย่างใด ส่วนผู้ชายที่รูปร่างใหญ่กว่า นั่งปิดท้าย ท่าทีลุกลี้ลุกลน มองซ้ายมองขวาตลอด เเล้วรถคันดังกล่าวก็ขับออกจากซอย ผ่านไปทางกลางหมู่บ้าน
นางกะทิ ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เคยเห็นรถคันดังกล่าว เเละไม่คุ้นกับชายสองคนนั้นเลย คาดว่าเป็นคนที่อื่น ซึ่งตอนเเรกตนไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่อง จึงไม่ค่อยได้สนใจ กระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. ทราบข่าวว่าน้องชมพู่หาย ตนจึงฉุกคิดถึงชาย 2 คนที่ตนเห็น ส่วนจะเกี่ยวข้องหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ เเต่ท่าทีดูน่าสงสัย เเละมั่นใจว่าน่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่นางอยู่เห็น ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปเเล้วเช่นกัน ยืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง ตำรวจก็รู้ข้อมูลนานเเล้ว เเต่ตนไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย
ล่าสุดวันที่ 17 ส.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้ทดลองความทรงจำของนางกะทิ โดยถามว่าจำได้หรือไม่ว่าเมื่อวานที่ผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์เเต่งกายอย่างไร
โดยเมื่อวันที่ 16 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวใส่เสื้อสีกรมท่า สวมกางเกงขายาวสีดำ เเละสวมรองเท้าเเตะสีน้ำตาล ลายทหาร ส่วนวันที่ 17 ส.ค.63 สวมเสื้อยืดเเละเสื้อเเจ็กเกตสีดำ สวมกางเกงขายาวสีดำ เเละสวมรองเท้าผ้าใบสีดำ
นางกะทิ สามารถจดจำได้ใกล้เคียง โดยตอบว่าเมื่อวันที่ 16 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวใส่เสื้อสีน้ำเงิน ใส่กางเกงขายาวสีดำ เเละสวมรองเท้าเเตะสีน้ำตาล ส่วนสาเหตุที่จดจำได้ เพราะผู้สื่อข่าวมาหาหลายรอบ และนั่งคุยกันหลายชั่วโมง ตนเชื่อว่าชายปริศนาต้องเป็นคนต่างพื้นที่ หากเป็นชาวบ้านกกกอก ตนต้องจำได้ถึงเเม้น้องฟ้าจะใส่หมวก
โดยนางกะทิ กล่าวถึงสาเหตุที่สามารถจดจำรายละเอียดรถเเละชายปริศนาได้ เนื่องจากตนสังเกตเห็นท่าทีเเปลก ๆ มองซ้ายมองขวาตลอดเวลาเเบบไม่น่าไว้ใจ เเละยังมีการขับผ่านหน้าถึง 3 รอบ โดยเฉพาะรอบที่ 3 ที่มีเด็กนั่งตรงกลาง หลานสาวของตนที่อยู่ในบ้าน พยายามวิ่งไปหารถคันนั้นเพื่อจะขอขึ้นด้วย ตนจึงวิ่งไปคว้าหลานไว้ เพราะกลัวจะได้รับอันตราย ทำให้ตนจดจำได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งหลังจากทราบว่าน้องชมพู่หายไป ก็ทำให้ตนคิดถึงภาพจักรยานยนต์คันนั้น เเละยิ่งตอนที่ทราบว่าพบศพน้องชมพู่ ตนตกใจมาก เเล้วภาพชายปริศนากับรถปริศนา ก็ลอยขึ้นมาให้เห็นอีก ตนครุ่นคิดถึงเเต่รถคันนั้นอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 วัน ก็มีการปรึกษาลูกสาว เเละปรึกษาญาติ ๆ ทุกคนก็เตือนว่าอย่าให้สัมภาษณ์สื่อ เพราะกลัวจะได้รับอันตราย บอกเเค่ตำรวจก็พอ
หลังจากเกิดเรื่องไม่นาน ตำรวจก็มาที่บ้าน เเล้วถามว่าเห็นคนเเปลก ๆ หรือรถเเปลก ๆ ผ่านมาเเถวนี้บ้างหรือไม่ ตนก็ให้การไปตามที่เห็น ซึ่งหลังจากที่ตนพูดจบ ตำรวจได้นำรูปถ่ายในกระเป๋ามาให้ดู เป็นรูปถ่ายรถจักรยานยนต์หลายคัน เเล้วถามว่าเห็นคันไหน ซึ่งมีรถคันหนึ่งลักษณะใกล้เคียง ทำให้ทราบว่าตำรวจมีข้อมูลในเรื่องนี้มาพอสมควรเเล้ว
รถจักรยานยนต์ของนายอนามัย มีสีเทา-น้ำเงิน จำนวน 1 คัน เป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นเวฟ-ไอ ส่วนอีก 1 คันเป็นรถจักรยานยนต์ รุ่นเวฟ-ไอ สีน้ำเงิน ซึ่งยังคงใช้งานทั้ง 2 คัน
รถจักรยานยนต์ของลุงพล คันสีเหลืองไม่ได้ใช้งานแล้ว ส่วนรถจักรยานยนต์ออนด้า รุ่นคลิก สีขาวอีก 1 คัน ยังคงใช้งานได้ ซึ่งรถของลุงพลไม่ตรงกับคำให้การของนางกะทิ
นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ กล่าวว่า คนมองว่ารถของพ่อตาเสียงค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เป็นรถเวฟ ซึ่งมันมีเอกลักษณ์ของแต่ละคัน ซึ่งรถบางคันเห็นวิ่งผ่าน บางทีก็จำได้ว่าเป็นรถใคร ถึงแม้ไม่ได้เห็นรถก็ตาม ส่วนตัวก็จำได้บางคัน ซึ่งรถพ่อตาเป็นรถที่ใช้ประจำ คนน่าจะจำได้บ้างหากขี่รถเข้าไปซอยบ้านน้องชมพู่ ซึ่งพ่อตาใช้รถทุกวัน โดยเฉพาะหากไปสวนก็จะขี่รถจักรยานยนต์ไป วันหนึ่งขี่ไปมาหลายรอบ เพราะงานเยอะ
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้สำรวจร้านค้า เเละร้านขายอุปกรณ์การเกษตร เริ่มจากร้านค้าที่อยู่ใกล้หมู่บ้านกกกอก คือหมู่บ้านกวนบุ่น พบว่ามีร้านที่ขายหมวกโม่งไหมพรม 2 ร้าน เเต่ทั้ง 2 ร้านระบุว่าไม่เคยรับหมวกสีม่วงล้วนมาขาย
ทีมข่าวได้พูดคุยกับหนึ่งในเจ้าของร้านค้า คือ นางทองไคร เงินนาม เปิดเผยว่า ที่ร้านของตนไม่เคยขายหมวกไหมพรมสีม่วงล้วน ที่ผ่านมาจะขายเฉพาะสีลาย ขายในราคาใบละ 30 บาท โดยตนรับมาจากรถขายส่งที่เข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งลูกค้าที่มาซื้อจะเป็นชาวบ้านกวนบุ่น เเละชาวบ้านขัวสูง ส่วนกกกอก เเละกกตูม ไม่เคยเห็นมาซื้อ ส่วนชายปริศนาที่นางกะทิเห็นว่าใส่หมวกสีม่วง ตนก็ไม่ทราบว่าหมวกดังกล่าวซื้อมาจากที่ใด เพราะตำบลกกตูม เป็นจุดเชื่อมต่อ 3 ตลาด ประกอบด้วยตลาดอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ตลาดอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เเละตลาดอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร
ส่วนกรณีชายปริศนา ที่นางกะทิเห็นว่ามีการเย็บตรงกลางหมวก ให้โผล่เเค่ลูกตานั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเย็บ ก็เพื่อป้องกันเเมลงเเละยุง ส่วนใหญ่ที่เห็นคือคนที่จะขึ้นเขา
นอกจากนี้แฟนเพจเฟซบุ๊ก "ออยศรีและผองเผือก" ยังได้โพสต์ภาพน้าแต และตั้งข้อสังเกตว่า "เผือกก็สีม่วง ๆ ลองเสิร์ชหาดู ม่วงเหมือนหมวกน้าแตนี่แหละ น้าแตก็มีหมวกม่วงเหมือนไอ้โม่งที่ยายอยู่และยายกะทิเห็น เอาเด็กไปเลย"
นายนรินทร์ หลาบโพธิ์ น้าของน้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า "ภาพอันนี้น่าจะผ่านมานานแล้ว หมวกจะมี 2 สี ข้างนอกสีเทา ข้างในสีม่วง ซึ่งตนใส่สีเทาออกข้างนอก แต่เมื่อพลิกอีกด้านมาก็จะเห็นเป็นสีม่วง ซึ่งตอนนี้หมวกใบนี้ไม่อยู่แล้ว เพราะหมวกเริ่มยืดจึงได้ทิ้งไปแล้ว ตนไม่กังวลกับโลกโซเชียลฯ ที่จับจ้อง และตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐาน เตรียมเอาผิดกับบางเพจที่บิดเบือนความจริง และบางบุคคลที่ปลอมแปลงเฟซบุ๊ก"
ทั้งนี้แฟนเพจเฟซบุ๊ก "บิ๊กเกียน" ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้อาจจะมีหมายจับออกมา คาดว่าเป็นอักษรย่อ ส. และ ต. จึงทำให้หลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ว่าหมายถึงใครกันแน่ จึงทำให้กลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจบนโลกออนไลน์
นายชาญ หลาบโพธิ์ ตาน้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า หากโซเชียลฯ จะตั้งข้อสงสัย ตนก็ไม่อยากตอบโต้ แต่การที่โซเชียลฯ จะตั้งประเด็นอะไรก็ขอให้คำนึงด้วยว่าครอบครัวตนเป็นผู้สูญเสีย
นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าตำรวจน่าจะมีข้อมูล สิ่งที่ตำรวจทำงานมากว่า 3 เดือน น่าจะมีพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งตัวย่อที่ว่ามา ตนเองไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือมีใครบ้าง เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้ายในคดีนี้ ตนเองไม่ได้กังวลอะไรกับตัวย่อ เชื่อทุกอย่างเป็นตามกระบวนการยุติธรรม
นางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าของชมพู่ กล่าวว่า มันตรงกับตนหมดเลย ทั้งสมพร และแต๋น ตนขอให้มันออกไปไกล ๆ ตัว ตนไม่ได้กังวลอะไร คิดว่ามันอยู่กับเจ้าหน้าที่ ตนเสี่ยงดวงกับเจ้าหน้าที่มาเยอะแล้ว หากมีการออกหมายจับคงมีความยุติธรรมอยู่
โดยส่วนตัวไม่ได้นึกว่าเป็นใคร แต่ตำรวจก็ไม่ได้สอบครอบครัวตนมาระยะหนึ่งแล้ว ตนเองก็สบายใจเพราะคนมาให้กำลังใจ ทำให้ตนเองลืมเรื่องที่เลวร้ายไปบ้าง หากยังไม่มีความกระจ่างมันคงยังไม่ได้ดีขึ้น เรื่องประกันตัวก็มีคิดปรึกษาไว้บ้าง ซึ่งก็มีคนยื่นมือมาช่วย ตนไม่ได้กังวลอะไร