จากกรณี ร.ต.อ.ธีระ หล้านามวงษ์ รองสารวัตรสอบสวน สน.บางเขน รับแจ้งความจาก นายอิทธิพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี พ่อของเด็กชายวัย 4 ขวบ หลังทราบว่าลูกชายของตนถูกทำร้ายร่างกายจนอาการสาหัส มีบาดแผล ไหม้รอยถูกตีกว่า 20 แผลตามร่างกาย ลำแขนข้างขวามีแผลลึกเกือบถึงกระดูกซึ่งติดเชื้อ กระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ ไหลปลาร้าหัก และยังมีอาการเลือดคั่งในสมอง อยู่ระหว่างการรักษาในห้องฉุกเฉิน เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางเขน เพื่อขอให้ติดตามตัวน.ส.มัลลิยา อายุ 20 ปีอดีตภรรยาและแม่ของน้องต้น และนายบารมี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี สามีใหม่หรือพ่อเลี้ยงมาดำเนินคดี เพราะเชื่อว่าเป็นคนทำร้ายร่างกายลูกชายบาดเจ็บสาหัส
น.ส.มัลลิยา และนายบารมี ได้เดินทางเข้ามามอบตัวที่ สน.บางเขน ก่อนจะถูกเชิญตัวไปสอบปากคำ และโอนย้ายคดีไปยังสน.โคกคราม เพราะสถานที่เกิดเหตุเกิดในพื้นที่ สน.โคกคราม ในเวลา 05.00 น. โดยก่อนเกิดเหตุเด็กซนตามประสาเด็ก น.ส.มัลลิยาจึงได้ตีพร้อมกับสั่งสอน จากนั้นเด็กได้อุจจาระเป็นจุดเป็นจุดทิ้งไว้ น.ส.มัลลิยาโมโหจึงคว้าไม้ปัดน้ำฝน ลอกพลาสติกสีดำออก ตีตามร่างกาย ทำให้เด็กไม่พอใจ จึงได้ทิ้งตัวหัวฟาดกับพื้นและได้สลบไป
เบื้องต้นเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตำรวจได้พาตัวนายบารมี กลับไปยังบ้านที่เกิดเหตุ ซอยนวลจันทร์ 14 แยก 1 เพื่อนำตัวจะไปเก็บหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่าเป็นก้านปัดน้ำฝน (ไม่ทราบขนาด) ที่น.ส.มัลลิยาใช้ตีเด็ก ก่อนที่จะนำตัวนายบารมีมาที่ สน.โคกคราม โดยทางผู้สื่อข่าวสอบถามนายบารมี ยอมรับว่า ในวันที่เกิดเหตุ ต้นอยู่ในเหตุการณ์ พยายามห้ามปรามแฟนสาวแล้ว ตนไม่เคยตีน้องต้น ก่อนที่จะกลับเข้าห้องสอบสวนอีกครั้ง
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับนายอิทธิพล (ขอสงวนนามสกุล) พ่อของน้องต้น อายุ 23 ปี เล่าว่า จากกรณีที่น.ส.มัลลิยา ให้การกับตำรวจว่าได้ลงมือตีน้องต้นเพียงคนเดียวและใช้ที่ปัดน้ำฝนตี พวกตนไม่เชื่อนายบารมีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง และคงใช้วัสดุอื่นที่นำมาทำร้ายน้องต้น เพราะดูจากบาดแผลแล้วแขนข้างขวา มีรอยลึกถึงกระดูกและติดเชื้อ ซี่โครงหัก
ส่วนที่อ้างว่าหากตีแล้วน้องต้นจะล้มตัวหัวฟาดพื้นนั้น ไม่เป็นความจริง แต่เคยเห็นว่าน้องต้นหยอกล้อ ใช้ศีรษะกระแทกกับพื้นแต่ไม่แรง และบอกว่าเจ็บ ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง ที่ผ่านมาน้องต้นไม่ได้เป็นออทิสติก แต่มีพัฒนาการช้า สาเหตุอาจเกิดจากน้องต้นไม่ได้ออกไปที่ไหน ไม่ได้ไปเล่นกับเด็กคนอื่น อาจจะไม่ทันเด็กคนอื่น และน้องต้นไม่ได้ป่วยโรคซึมเศร้า
ตลอดที่คบหาดูใจกับน.ส.มัลลิยา ไม่เคยทำร้าย เพราะแม่สอนไม่ให้ทำร้ายผู้หญิง ลักษณะนิสัยของน.ส.มัลลิยา จะเป็นคนโมโหร้าย เก็บกด ชอบทะเลาะกันอยากได้อะไรต้องได้ นอกจากนี้น้องต้นอยู่ในความดูแลของตายาย ซึ่งยายจะรักหลานมาก ตั้งแต่น้องต้นเกิดมาตนก็เลี้ยงดู ไม่เคยตีลูก แต่น.ส.มัลลิยา อาจตีลูกร้องไห้แล้วหงุดหงิด นอกจากนี้ยังเคยขอรับน้องต้นมาเลี้ยงดูเอง แต่ครอบครัวน.ส.มัลลิยา บอกว่ามีบ้านอยู่สามารถเลี้ยงดูได้ และย่าทวดได้บอกว่าจะเลี้ยงให้ดี พวกตนจึงเชื่อใจ
นายอิทธิพล ยืนยันว่าตนปักใจเชื่อว่าพ่อเลี้ยงมีส่วนรู้เห็น และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะเห็นบาดแผลไม่น่าเชื่อ ตนไม่ทราบว่ามีการกระทืบเด็กเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนอาการน้องต้นน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา สามารถดื่มนมได้ อาการยังคงที่ ขอไม่พูดอะไรฝากถึงทางครอบครัวและน.ส.มัลลิยา เพราะจุกอกพูดไม่ออก
ทางพ.ต.อ.ธีรศักดิ์ ภิญโญ ผกก.สน.โคกคราม กล่าวว่า เบื้องต้นสืบทราบมาว่าอดีตที่ผ่านมาของน.ส.มัลลิยา ถูกพ่อทำร้ายร่างกายตั้งแต่เด็ก เป็นผลทำให้มาทำร้ายลูก ประกอบกับถูกกดดัน และมีอาการโรคซึมเศร้า จะมีอารมณ์รุนแรง นอกจากนี้น้องต้นมีอาการคล้ายเด็กพิเศษพัฒนาการช้า เวลาที่ทำอะไรไม่ทันใจก็จะตี พอตีแล้วน้องต้นจะทิ้งตัวล้มหัวฟาดพื้นไปเอง
ส่วนด้านนายบารมี ให้การว่า หากภรรยาของตนได้ตีน้องต้น ตนพยายามห้ามปราม แต่แล้วไม่ฟัง ซึ่งก็จะลดความรุนแรงลง ส่วนในวันที่เกิดเหตุนั้นทางน้องต้นได้อุจจาระเป็นจุดเป็นจุด แล้ว น.ส.มัลลิยาไม่พอใจ จึงได้ตี แล้วน้องต้นไม่ยอม จึงทิ้งตัวหัวฟาดพื้น จนอาการสาหัส ส่วนกระดูกซี่โครงที่หักนั้น ไม่ทราบสาเหตุ และน.ส.มัลลิยา ยอบรับเพียงว่า ได้ตีเท่านั้น
พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า น.ส.มัลลิยา ยังยอมรับว่าสงสารน้องต้น แต่ทำไปเพราะความโมโห เพราะมีลักษณะนิสัยเกรี้ยวกราด โมโหร้าย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดาเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส