จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "ไกรสร บุญสระพัง" โพสต์เฟซบุ๊กขอความเป็นธรรม ระบุว่า หลานสาวคือ น.ส.พรพิพัฒน์ เอียดดำ หรือ มิ้นท์ เกิดอาการช็อกหมดสติ ต้องรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หลังเดินทางไปซ้อมเชียร์หลีดเดอร์ที่มหาวิทยาลัยช้ากว่าปกติ จึงถูกรุ่นพี่ลงโทษให้วิ่งรอบสนาม 8 รอบ และเป็นลมหัวใจหยุดเต้นไปประมาณ 16 นาที ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ล่าสุดวันที่ 21 ส.ค.63 ญาติและครอบครัวของนักศึกษาหญิงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองภูเก็ต น.ส.วิลาวัลย์ เอียดดำ ญาติของผู้เสียชีวิต ระบุว่า ขณะนี้พ่อและแม่ รวมทั้งญาติยังทำใจไม่ได้
หลังได้รับแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยว่าน้องเป็นลม เกิดจากการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ที่มหาวิทยาลัย แต่เท่าที่ทราบน้องถูกทำโทษจากรุ่นพี่ให้วิ่งรอบสนาม 8 รอบ ซึ่งระยะทาง 6.4 กม. และยังไม่ชัดว่ากี่คน โดยข้อมูลนี้มาจากเพื่อน ๆ ซึ่งบอกไม่ตรงกับทางมหาวิทยาลัย และแพทย์บอกว่าหัวใจล้มเหลว ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
ทั้งนี้เพื่อน ๆ รุ่นพี่ และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้มาถึง ทางเราจึงได้สอบถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ซึ่งดูจากอาการแล้วไม่น่าจะใช่เป็นลม ซึ่งทางอาจารย์ได้แจ้งว่าก่อนเกิดเหตุน้องได้ไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งก่อนการซ้อมจะมีการวิ่งวอร์มร่างกาย ซึ่งน้องวิ่งได้เพียง 1 รอบก็เป็นลม จากนั้นเพื่อน ๆ จึงนำน้องมาส่งทางโรงพยาบาล ซึ่งอาจารย์และรุ่นพี่ตลอดจนเพื่อน ๆ เล่าข้อมูลมาเพียงเท่านี้
กระทั่งเมื่อเวลา 18.20 น. ของวันที่ 20 ส.ค. 63 น้องได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต มีหลายข้อมูลยังขัดแย้งกัน เนื่องจากเพื่อนน้องอ้างว่า น้องถูกทำโทษเพราะมาซ้อมเชียร์สาย เนื่องจากทำงานอยู่อีกตึกหนึ่ง รุ่นพี่ได้สั่งให้วิ่ง 8 รอบ ซึ่งน้องวิ่งได้ 7 รอบ ระยะทางประมาณ 5.6 กม. ก่อนจะมีอาการช็อก ตาเหลือก ตาค้าง และฉี่ราด
ผศ.ดร.หิรัญ ประสารการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต แถลงข่าวกรณีมีนักศึกษาเสียชีวิตขณะทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 63 ขณะมหาวิทยาลัยเตรียมจัดกิจกรรมกีฬาสี ผู้ตายเกิดอาการวูบระหว่างซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ นำส่งรพ.วชิระภูเก็ต เข้ารักษาตัวที่ห้องไอซียู ต่อมาแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิต
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงกำลังรอผลการชันสูตร มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างสูงต่อครอบครัวของนักศึกษา และไม่ได้นิ่งนอนใจ ให้ความช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น จำนวนเงิน 100,000 บาท และได้ติดต่อประสานครอบครัวของนักศึกษาแล้ว พร้อมเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งคณะตรวจสอบถ้าพบว่ามีความผิดจะลงโทษทางวินัยต่อไป
นายคนอง เอียดดำ อายุ 43 ปี พ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า เมื่อวันเกิดเหตุ 19 ส.ค. 63 ตนรับแจ้งว่าลูกสาวเป็นลมส่ง รพ.วชิระภูเก็ต มีอาการหัวใจหยุดเต้นประมาณ 16 นาทีก่อนถึงโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หมอช่วยปั๊มหัวใจ อาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียู ซึ่งตนได้ถามเพื่อนลูกที่ร่วมกิจกรรมบอกว่าซ้อมเชียร์ ให้วิ่งรอบสนามวอร์มร่างกาย 5 รอบ แต่น้องวิ่งไม่ครบ มีอาการเป็นลมชักเกร็ง ฉี่ราด เพื่อน ๆ จึงรีบส่งโรงพยาบาล พาไปส่งกับรถจักรยานยนต์ซ้อนสามคน ให้ผู้ตายนั่งตรงกลาง
เมื่อไปที่โรงพยาบาลได้ขอไปดูลูก พบว่าร่างกายของลูกมีร่องรอยถลอกหลายจุดน่า จะเกิดจากตอนที่ล้มลง ตนรู้สึกเสียใจมาก เขาตั้งใจเรียนมาก ได้ไปส่งเข้าเรียนทุกวัน บอกให้ระมัดระวังตัวเสมอในการทำกิจกรรม
นางสาววิลาวัลย์ เอียดคำ พี่ของผู้ตาย กล่าวว่า น้องสาวเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่เด็ก กล้าแสดงออก ตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ เข้าเรียนระดับประถมและมัธยมก็สมัครเป็นดัมเมเยอร์ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเต้นรำ และเป็นหลีดของโรงเรียน น้องชอบออกกำลังกาย และไม่มีโรคประจำตัว กิจกรรมซ้อมหลีดที่น้องเข้าไปร่วมทางครอบครัวไม่เคยรู้มาก่อน เนื่องจากน้องเข้ามหาลัยได้ไม่นาน น้องไม่เคยบ่นสักคำว่าถูกทำโทษ
นอกจากน้องจะชอบทำกิจกรรมแล้ว ยังชอบความเป็นไทย จึงได้ตัดสินใจเรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาไทย เพราะโตไปอยากเป็นคุณครูภาษาไทย ล่าสุดได้เป็นตัวแทนของคณะในการประกวดพูดเรื่อง "แม่" ซึ่งถือเป็นกิจกรรมสุดท้ายที่น้องได้ทำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ญาติติดใจตอนนี้คือการเสียชีวิต เพราะทางแพทย์บอกว่าหัวใจน้องหยุดเต้น สมองขาดอากาศ 16 นาที เท้าน้องเป็นแผลถลอก ซึ่งเกิดจากการขูดไปกับถนน ทั้งนี้ ญาติเชื่อว่าน้องน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ที่มหาวิทยาลัย และอีกข้อมูลที่ได้มาคือขณะที่รุ่นพี่สั่งลงโทษให้วิ่ง 8 รอบ จนรอบที่ 7 น้องจึงล้มลง นอนชักเกรง จึงเชื่อว่าน้องน่าจะช็อกตั้งแต่ตอนนั้น จนหัวในน้องหยุดเต้น
พ.ต.อ.ธีรวัฒน์ เลี่ยมสุวรรณ ผกก.สภ.ภูเก็ต กล่าวว่า เบื้องต้นทางป้าของผู้เสียชีวิตเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้เกี่ยวข้อง ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรวบรวมพยายหลักฐานมาประกอบสำนวน และเชิญตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ปากคำอีกครั้ง ถ้าพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะออกหมายเรียกหรือหมายจับต่อไป
นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล หรือ หมอกอล์ฟ เจ้าของเพจคุณหมอสตอรี่ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า น่าจะเกิดจากเส้นเลือดหัวใจตีบ โดยไม่รู้ตัว เพราะปกติแล้วคนเราจะมีหลอดเหลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจ 3 เส้นใหญ่ ถ้าตีบแค่ 1 เส้น จะไม่มีอาการ ใช้ชีวิตตามปกติได้ กระทั่งเครียด ออกแรงอย่างหนัก ออกกำลังกายหนัก จึงจะเริ่มแสดงอาการ
สัญญาณเตือน คือจะแน่นหน้าอกบ่อย หายใจได้ไม่เต็มปอด เวียนหัวบ่อย ๆ เวลาออกแรงอย่างหนัก หรือออกกำลังกายแล้วรู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนจะเป็นลม และเหนื่อยง่าย ดังนั้น หากวิ่งหรือออกกำลังกายหรือพูดต่อเนื่อง 3-4 คำติดกันแล้วรู้สึกเหนื่อย แสดงว่า หัวใจและปอดทำงานหนัก ต้องหยุดแล้วหายใจลึก ๆ ส่วนสาเหตุของเส้นเลือดหัวใจตีบ คือความเครียด พักผ่อนน้อย และทานอาหารไม่มีประโยชน์