จากกรณีลุงขับแท็กซี่ป่วยหลายโรคสู้ชีวิตเพียงลำพังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะขับรถแท็กซี่เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลตัวเอง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ลุงแท็กซี่ เผยชีวิตรันทด ขับรถไป ล้างไตไป
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ นายณัฐพงษ์ หรือ บี้ ลูกชายวัย 18 ปี ของลุงที่ทำงานอยู่ที่ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์บริเวณปากซอยนาเกลือ 14 ถนนพัทยานาเกลือ เมืองพัทยา แล้วเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเป็นลูกชายคนโต และมีน้องชายอีกคนแต่คนละแม่ และซึ่งเมื่อก่อนตนเองอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เล็ก แต่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งย้ายไปเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ห้องเช่าในอยุธยา ซึ่งพ่อก็ป่วยหลายโรคซึ่งตนเองก็ทราบ และได้ออกมาจากบ้านพ่อที่อยุธยา แต่ก็โทรติดต่อพูดคุยกับพ่อทั้งๆ ที่พ่อป่วยและใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งตอนออกมานั้นประมาณอายุ 15-16 ปี ซึ่งพ่อก็รู้และให้มาอยู่ที่พัทยาเพราะมาอยู่กับแม่ตนเอง
ส่วนสาเหตุที่ออกมาก็เพราะที่อยุธยาไม่ค่อยมีงานทำมากนัก และยังกลัวมาเป็นภาระของพ่ออีก ซึ่งพ่อก็เข้าใจ ตนมาอยู่พัทยารับจ้างซ่อมรถ จยย.ได้ค่าจ้างวันละ 400 บาท ซึ่งตนก็ต้องนำเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง รายจ่ายส่วนตัวเพราะแม่มีอาชีพขายผักในเมืองพัทยา ส่วนสาเหตุที่แม่เลิกกับพ่อนั้นไม่ทราบเพราะตั้งแต่เล็กไม่เคยเจอแม่เพิ่งมาเจอแม่ก็ตอนตนเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ส่วนเรื่องเงินตนเองยอมรับส่งให้พ่อเป็นบางเดือน เดือนละ 600-800 บาท แล้วแต่เท่าที่รายได้พอจะหาได้และเหลือ บางเดือนก็เงินก็ไม่เหลือก็จะโทรบอกพ่อ พ่อก็เข้าใจ
ตนเองก็ติดต่อกับพ่อตลอด หากตนหยุดงานได้ ก็จะขึ้นไปหาพ่อและพาไปหาหมอ ส่วนตัวพ่อนั้นเป็นคนที่ต่อสู้กับชีวิต ส่วนคนที่มองว่าทอดทิ้งพ่อนั้นไม่จริง อยากให้เข้าใจ ในตัวผมว่ามันไม่มีงานทำจริง ซึ่งตอนนี้ก็เสียใจที่มีคนมาว่าผมว่าทิ้งพ่อ ส่วนเรื่องเงินบริจาคผมจะไม่เข้าไปยุ่งแม้แต่บาทเดียวขอให้พ่อเขาจัดการเข้าเอง ซึ่งผมก็คงทำงานอยู่แบบนี้ ส่วนเรื่องราวที่ออกมาจะเป็นอย่างไรนั้นผมแค่น้อยใจแต่ผมไม่ได้ทิ้งพ่อ