จากกรณีแฟนเพจ "เจ๊ม้อย" โพสต์รูปภาพอาการบาดเจ็บของสาวรายหนึ่ง และภาพผู้ก่อเหตุ พร้อมระบุข้อความว่า “ประกาศใครพบเห็นผู้ชายคนนี้ แจ้งตำรวจให้ทีข้อหาพยามฆ่าลูกสาวฉัน ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล เลือดคั่งในสมองค่ะ ขอร้องช่วยหน่อยค่ะ สงสารหลานร้องหาแม่ค่ะ”
ล่าสุดวันที่ 28 ส.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมาที่ชุมชนท่าน้ำวัดประดู่ ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อพูดคุยกับผู้เสียหาย ซึ่งยังคงมีอาการบาดเจ็บอยู่ และที่ใบหน้า มีรอยถลอก ดวงตาข้างขวามีอาการบวมแดง
น.ส.มรกต กลั่นศรี อายุ 31 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ส.ค.63 เวลา 17.00 น. เหตุเกิดในที่ทำงานของตน ร้าน 20 บาทแห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา ตนกำลังนั่งจัดของอยู่ในร้าน นายเอ้ แฟนของตนได้เดินเข้ามาหาด้วยอาการมึนเมา ตนจึงโทรบอกให้ลุงกับพ่อของตนมาพานายเอ้ ออกไป ซึ่งนายเอ้ก็ยอมออกไปจากร้านโดยดี
หลังจากนั้นไม่นาน นายเอ้ ได้กลับเข้ามาหาตนอีกครั้ง และเข้ามากระชากศีรษะของตน ก่อนจะกระหน่ำต่อยเข้าที่ใบหน้า กับศีรษะของตน ส่วนตัวรู้จักนิสัยของนายเอ้ดีว่า ถ้านายเอ้มีอาการมึนเมา แล้วตนยิ่งพูดจะยิ่งเจ็บตัว ตนจึงได้ถามไปว่า “มึงทำกูทำไม” และไม่ได้โวยวายอะไร
กระทั่งตนถูกต่อยจนล้มลงไปใส่ข้าวของ ทำให้เลือดไหลออกมาเยอะ นายเอ้จึงตกใจ และรีบหลบหนีไปทางด้านหลังร้านแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมงานของตนพอได้ยินจึงวิ่งเข้ามาดูทันที ตนได้รับบาดเจ็บมีรอยช้ำตามใบหน้า มีเลือดคั่งในสมอง ไซนัสแตก ขณะนี้ตนอาการจะดีขึ้นแล้ว แต่ตนยังคงรู้สึกปวดหัว และตายังคงบวมแดงอยู่
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สมองของตนได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ตนเคยมีอาการปวดหัวอย่างหนักมาแล้ว และเคยถูกตักเตือนว่า อย่าให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอีก ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกทำร้ายอย่างหนัก โดยตนคบกับผู้ก่อเหตุมา 6 ปี และเมื่อก่อนอาศัยอยู่บ้านของผู้ก่อเหตุ ตนกับผู้ก่อเหตุ ทะเลาะกันเป็นประจำ แต่ครอบครัวของตนไม่เคยรับรู้
เนื่องจากเวลาผู้ก่อเหตุมีอาการมึนเมาจะชวนทะเลาะ โดยการด่าตน และทำร้ายร่างกายตน พอส่างเมาผู้ก่อเหตุจะอ้างว่าแหย่เล่น และทำไปเพราะหึงหวง ทั้งที่ตนไม่เคยไปทำอะไรให้โกรธ โดยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผู้ก่อเหตุเคยเมา และทำร้ายตนถึงขั้นได้รับบาดเจ็บกระพุ้งแก้มแตก ต้องเย็บหลายเข็ม และพอหายดีก็ถูกทำร้ายจนแขนหักอีกเมื่อตนหนีไปอยู่ที่อื่น ผู้ก่อเหตุก็จะขอคืนดี และขอโอกาส แต่พอตนกลับไปอยู่ด้วย ก็แสดงพฤติกรรมเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ตนไม่ขอให้โอกาสแล้ว เพราะตนให้มาแล้วหลายครั้ง และตนไม่ต้องการคำขอโทษ เพราะสายไปเสียแล้ว และตนอยากจะให้ผู้ก่อเหตุสำนึกผิดถึงสิ่งที่กระทำบ้าง สุดท้ายนี้ ตนยอมรับว่า ยังรักผู้ก่อเหตุ แต่ถ้ารักกันแล้วมาทำแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ทีมข่าวได้เดินทางมาที่บ้านพักแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ภายใน ชุมชนบัวชม ต.ชะแมบ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายอัตพร แจ้งจิตร หรือ เอ้ อายุ 30 ปี แฟนของผู้เสียหาย หรือ ผู้ก่อเหตุ โดยหลังจากเกิดเรื่อง ไม่ได้กลับมาที่บ้าน และไม่มีใครรู้ว่าไม่อยู่ที่ไหน
จากการสอบถาม นางนวล (นามสมมติ) อายุ 54 ปี แม่ของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเรื่อง ลูกชายของตนยอมรับว่า รู้สึกโมโหเพราะภรรยาพูดจาท้าทายให้ตามไปหาถึงที่ทำงาน แต่ตนไม่ทราบว่าลูกชายมีอาการเมาหรือไม่
ก่อนหน้านี้ตนยอมรับว่า ลูกชายของตนเคยทำร้ายจนฝ่ายหญิงแขนหัก แต่ตนไม่ทราบว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ทุกครั้งที่มีปัญหา ทั้งสองคนจะกลับมาดีกันเหมือนเดิม แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฝ่ายหญิงเคยนอกใจลูกชายของตน และไปมีแฟนใหม่ พอลูกชายของตนไปตามกลับบ้าน ก็ถูกแฟนใหม่ทำร้ายร่างกาย
โดยเมื่อก่อนลูกชายของตนเป็นคนที่ติดเหล้ามาก่อน และทุกครั้งที่ลูกชายเมา ลูกชายกับลูกสะใภ้จะทะเลาะกัน ส่วนลูกสะใภ้เป็นคนเถียงเก่ง ด่าทอเก่ง ทุกครั้งที่ทะเลาะกันจึงไม่มีใครยอมใคร กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ตนได้ให้ลูกชายย้ายไปอยู่ที่บ้านของลูกสะใภ้ เพราะแถวบ้านของตนเป็นแหล่งยาเสพติด และตนอยากจะให้ลูกชายไปอยู่ที่อื่น เพื่อเลิกยากับเหล้าด้วย ซึ่งลูกชายของตนยืนยันว่าเลิกแล้ว
ช่วงที่ย้ายมาอยู่ในบ้านของลูกสะใภ้ ลูกชายของตนมักจะระบายให้ฟังเป็นประจำว่า รู้สึกเครียดมาก และอยากจะกลับมาอยู่บ้าน เพราะถูกแม่ยายด่าทอตลอด และด่าด้วยคำหยาบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนมองว่า เป็นเรื่องของสามีภรรยา และตนได้กล่าวขอโทษแทนลูกชายแล้ว
ทั้งนี้ตนยืนยันว่า ตนไม่เคยข้าข้างใคร และส่วนใหญ่จะเข้าข้างแต่ลูกสะใภ้มากกว่าลูกชายด้วยซ้ำ เพราะหากลูกชายทำผิดจริง ตนจะด่าตลอด อย่างไรก็ตาม ลูกชายของตนได้ติดต่อผ่านญาติพี่น้องว่า อยากจะไปขอโทษ และอยากจะไปมอบตัว แต่ต้องรอคำตอบจากลูกสะใภ้ก่อนว่า พร้อมที่จะไปพูดคุยกันหรือไม่
โดยหลังจากเกิดเรื่อง ลูกสะใภ้กล่าวกับตนว่า พร้อมที่จะให้อภัย และกล่าวว่า “แม่ไม่เคยว่าหนูเลย แต่เอ้ทำหนู” ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าลูกสะใภ้จะยอมความหรือไม่ สุดท้ายนี้ หากลูกชายของตนต้องถูกจับจริง ตนคงจะต้องยอม แต่หากมีโอกาส ตนก็อยากจะพาลูกชายไปบวช จะได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่