กรณี ร.ต.อ.วิรัตน์ วงศ์สวัสดิ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุยิงกันตายบนถนนบ้านน้ำฉา-บ้านน้ำโฉ หมู่ 1 ต.ควนทอง อ.ขนอม ซึ่งเป็นถนนเปลี่ยวมืด ไม่มีผู้คนและบ้านของชาวบ้านอาศัยอยู่ ในที่เกิดเหตุพบศพของนายเปรมศักดิ์ ศรีสินธุ์ หรือ ปาล์ม อายุ 29 ปี นุ่งกางเกงขาสั้นลายการ์ตูน ไม่สวมเสื้อ เหน็บอาวุธปืนขนาด .357 จำนวน 1 กระบอกไว้ข้างเอว มีกระสุนในรังเพลิง
สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืน 9 มม. เข้าหน้าท้อง 1 นัด โหนกแก้มซ้าย 1 นัด หลังขวา 1 นัด ชายโครงขวา 1 นัด ชายโครงซ้าย 2 นัด รวม 6 แผล พบปลอกกระสุนปืน 9 มม. ตกอยู่ 7 ปลอก และหัวกระสุน 2 หัว ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
ตำรวจสันนิษฐานว่า สาเหตุการฆาตกรรมน่าจะเกิดจากความขัดแย้งในธุรกิจมืด โดยคนร้ายได้ขับรถกระบะของคนตายหนีไปทาง อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เนื่องจากผู้ตายมีประวัติเคยถูกตำรวจสภ.ขนอม จับกุมในคดียาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง ตามคดีอาญาเลขที่ 1/2560 และคดีอาญาที่ 1/2562 ซึ่งถึงแม้จะพ้นโทษออกมา ก็ยังมีพฤติกรรมค้ายาเสพติด
โดยล่าสุดผู้ตายมีหมายจับของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เลขที่ 197/2562 ในข้อหาจำหน่ายยาเสพติด และอยู่ระหว่างการติดตามตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะนี้ตำรวจได้ส่งศพผู้ตายไปยังแผนกนิติเวช รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อผ่าชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด ก่อนจะมอบศพให้กับญาติ เพื่อประกอบพิธีศพตามประเพณี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุดวันที่ 6 ก.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้ลงพื้นที่ที่เกิดเหตุ ได้พูดคุยกับนายจำรัส พรหมอนุมัติ อายุ 54 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ บอกว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ตนได้รับแจ้งเหตุจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยว่า มีคนถูกยิงอยู่กลางถนนแล้วถูกลากมาไว้ข้างทาง ตนจึงรีบออกไปที่เกิดเหตุ พบว่ามีกองเลือดกองใหญ่กองอยู่กลางถนนน่าสยดสยอง
เมื่อเช้าวันนี้กลุ่มชาวบ้านในบริเวณที่เกิดเหตุ จะออกจากบ้านไปกรีดยางกันข้าง ๆ ที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 3 ก.ย.63 จากนั้นในเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 4 ก.ย.63 กลุ่มชาวบ้านก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด และเสียงปืนรัวดังขึ้นอีกหลายนัด คาดว่าน่าจะยิงจนกระสุนหมด กลุ่มชาวบ้านที่กรีดยางกันอยู่ได้แต่ผวา เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นมืดมาก ไม่มีไฟส่องสว่าง จึงไม่มีใครกล้าออกมาดูเหตุการณ์ ต้องรอจนเหตุการณ์สงบ
ตนไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร และชาวบ้านในพื้นที่ของตนก็ไม่ทราบเช่นกัน ไม่ทราบว่าผู้ตายมีหมายจับคดียาเสพติด เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้ ชาวบ้านต่างก็รู้สึกผวา เนื่องจากไม่เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นชาวบ้านก็ยังคงต้องออกไปกรีดยางเลี้ยงชีพในเวลากลางดึกเช่นทุกวัน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้เจอกับนายคะน้า (นามสมมติ) อายุ 29 ปี เพื่อนของผู้ตาย หรือ "ปาล์ม ท้องเนียน" โดยเจ้าตัวได้เล่าเหตุการณ์การดวลปืนในที่เกิดเหตุให้ทีมข่าวฟังว่า ตนเป็นเพื่อนกับผู้ตายมาตั้งแต่เด็ก เคยพัวพันกับยาเสพติดมาด้วยกัน แต่ตนถอนตัวออกมานานแล้ว ซึ่งสาเหตุการเข้าสู่วงการยาเสพติดของผู้ตาย เนื่องจากต้องการเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่ผู้ตายไม่ชอบเสพหรือติดยาเสพติด
นายคะน้า (นามสมมติ) บอกว่า เมื่อเวลา 00.00 น. ผู้ตายได้นั่งรถเก๋งออกไปกับนายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเพื่อนกัน โดยผู้ตายได้บอกนายเอ (นามสมมติ) ว่าให้ขับรถให้หน่อย จะเอาของไปคืน และรับเงินประมาณ 100,000 บาทคืน เนื่องจากของที่ได้มานั้นไม่ตรงกับสิ่งที่สั่งไว้ โดยเมื่อทั้งคู่ไปถึงที่เกิดเหตุ ผู้ตายได้ลงจากรถแล้วเดินไปยังรถเก๋งแต่งซิ่งของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ที่มาด้วยกันทั้งหมด 3 คน
โดยทันทีที่ผู้ตายเดินไปใกล้จะถึงรถของอีกฝ่าย เพื่อจะเจรจา อีกฝ่ายก็ได้เปิดประตูลงมา แล้วรัวปืนใส่ผู้ตายทันที โดยผู้ตายไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ใด ๆ นายเอเมื่อเห็นผู้ตายถูกยิง จึงได้ลงจากรถออกมายิงตอบโต้อีกฝ่าย แต่เนื่องจากอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า ทำให้นายเอสู้ไม่ได้ จึงวิ่งหลบหนีเข้าป่ายาง ซึ่งในขณะนั้น คู่กรณีทั้ง 3 คน ก็ได้ลากศพของผู้ตายจากกลางถนนไปไว้ข้างทาง พร้อมฉกสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท สร้อยคอมือทองคำหนัก 5 บาท และเงินสดของผู้ตายหนีไป
เมื่อนายเอ เห็นว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว จึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วขับรถออกจากที่เกิดเหตุ โดยในขณะนี้นายเอ ได้ออกจากพื้นที่อำเภอขนอม เพื่อกันตัวไว้เป็นพยานในชั้นศาล
นายคะน้า (นามสมมติ) บอกด้วยว่าที่ผู้ตายเดินไปหาคู่กรณีแบบนั้น คาดว่าผู้ตายน่าจะไว้ใจอีกฝ่าย แต่กลับถูกปล้นฆ่า ตนถอนตัวออกมาจากวงการยาเสพติดและเคยเตือนผู้ตายแล้ว แต่ผู้ตายนั้นมีภรรยาและลูกต้องเลี้ยงดู ทำให้ยังคงอยู่ในวงการ แต่ตนยืนยันได้ว่าผู้ตายไม่เคยมีปัญหากับใคร แม้กระทั่งผู้ซื้อหรือผู้ขาย
ทั้งนี้ตนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเสียเพื่อนที่ดีไป 1 คน ผู้ตายเป็นคนนิสัยดีมาก อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวคนร้ายให้ได้ เพราะผู้ก่อเหตุกระทำรุนแรงเกินไปเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย