ผอ.บังคับคดีบุรีรัมย์ รุดช่วยเหลือหนุ่มรับจ้างกรีดยางรายได้วันละ 300 บาท ที่มีชื่อโผล่เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จนถูกฟ้องล้มละลายเป็นหนี้กว่า 97 ล้านบาท คาดอาจทำเอกสารสำเนาบัตรประชาชนหาย แล้วถูกมิจฉาชีพนำไปใช้
กรณีนายวิชิตร์ มนปราณีต อายุ 43 ปี ชาวอำเภอแคนดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีอาชีพรับจ้างกรีดยาง ตัดอ้อยมีรายได้วันละ 300-400 บาท ทั้งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนจากรัฐ ช่วยค่าครองชีพ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือหลังจู่ ๆ มีหมายจากศาลล้มละลายกลางมาส่งถึงบ้าน ระบุว่ากรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้อง นายวิชิตร์ มนปราณีต ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท "ภูเก็ต มอนติ คาโล จำกัด" ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขาย เช่าซื้อ ขายฝากที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่น มีทุนจดทะเบียนถึง 200 ล้านบาท โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้เด็ดขาด เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 62 เนื่องจากบริษัทมีหนี้ค้างชำระตั้งแต่ปี 2561-2563 รวมกว่า 97 ล้านบาท นายวิชิตร์ ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลย จึงมีหน้าที่ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 30 จึงมีหมายให้ท่านไปให้การสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน ณ กองบังคับคดีล้มละลาย 3 กรมบังคับคดี กรุงเทพมหานคร ภายใน 7 วัน นับแต่วันรับหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติตามหมายนี้อาจมีโทษทางอาญา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 63 นางบุญญาภา เสนามนตรี ผอ.บังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยผู้แทนสรรพากรพื้นที่ ผู้แทนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ปลัดอำเภอแคนดง และกำนันตำบลแคนดง ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านนายวิชิตร์ เพื่อสอบถามข้อมูลรายละเอียด และหาแนวทางช่วยเหลือ เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ทำบันทึกคำให้การของนายวิชิตร์ ที่บ้านเพื่อส่งไปยังศาลล้มละลายกลาง โดยที่นายวิชิตร์ ไม่ต้องเดินทางไปให้การที่กองบังคับคดีล้มละลายกลาง กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ นายวิชิตร์ ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ว่าไม่เคยรู้จักกับบริษัทดังกล่าว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทเลย ไม่รู้ว่ามีชื่อไปเป็นผู้ถือหุ้นได้อย่างไร แต่ยอมรับว่าเมื่อปี 2547 เคยเดินทางไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ แต่ไม่เคยไปเซ็นเอกสารให้ใคร จึงคาดว่าอาจจะทำสำเนาบัตรประชาชนหาย แล้วมีมิจฉาชีพนำไปใช้
นายวิชิตร์ และภรรยา เปิดเผยภายหลังว่า หลังจากมีหน่วยงานราชการลงพื้นที่มาช่วยเหลือ ก็รู้สึกสบายใจและคลายความกังวลมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวจะถูกจับหรือถูกยึดบ้านเพราะมีชื่อไปเป็นผู้ถือหุ้น ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทดังกล่าวเลย และไม่รู้จะหาเงินค่าเดินทางที่ไหนไปกองบังคับคดีล้มละลายกลาง กรุงเทพฯ เพราะตนเองมีอาชีพแค่รับจ้างกรีดยาง ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ