จากกรณีที่มีการวาดภาพกราฟฟิตี้รูปเสือดำจากหลายพื้นที่ ทั้งในสถานที่สาธารณะและเอกชน ก่อนจะถูกลบในเวลาต่อมา ล่าสุด น.ส.ปิยะวรรณ ตั้งสกุลสถาพร ตัวแทนจากกลุ่มเพจเฟซบุ๊ก "A CALL for Animal Rights Thailand" และศิลปิน ได้ออกมาวาดวาดภาพเสือดำ ในพื้นที่ส่วนบุคคลที่ได้รับอนุญาต
โดย
น.ส.ปิยะวรรณ ตั้งสกุลสถาพร ตัวแทนจากกลุ่มเพจเฟซบุ๊ก A CALL for Animal Rights Thailand กล่าวว่า หลังจากที่หลายฝ่ายต้องการความยุติธรรม กรณีของเสือดำ จึงออกไปวาดภาพที่กำแพงในที่สาธารณะ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สมควรทำ เพราะเป็นพื้นที่ของบุคคลอื่น อีกทั้งยังถูกลบภาพในเวลาต่อมา จึงจัดโครงการ "Graffiti จับคู่กำแพงกับศิลปิน" เพื่อให้เจ้าของบ้านที่ต้องการภาพวาด ปลูกจิตสำนึกในพื้นที่กำแพงบ้านของตนเอง ได้พูดคุยกับศิลปินฝีมือดี ที่สามารถโชว์ผลงาน แล้วไปช่วยวาดผลงานที่กำแพงได้
ทั้งนี้ ผลงานที่ถูกวาดเป็นรูปเสือดำ เป็นการวาดเพื่อสื่อถึงเรื่องการปลูกสำนึกรักสัตว์ป่า และเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อเสือดำ ซึ่งทางกลุ่มของตนไม่อยากให้คดีนี้เงียบ เพราะหลายกรณีที่เมื่อคนใหญ่คนโตทำผิด แล้วเรื่องก็เงียบไป ค้านต่อสายตาคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่ยุติธรรม
น.ส.ปิยะวรรณ ยอมรับว่า การพ่นสีต่างๆ ต้องการให้เกิดกระแสสังคมที่ดี เพราะศิลปะสื่อความหมายโดยไม่ต้องใช้คำหยาบคาย ซึ่งภาพต่างๆ เหล่านี้ ยังอยู่จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม โดยมีดารา ศิลปินหลายท่าน ที่ตั้งใจโพสต์รูปเสือดำทุกวัน ทุกโพสต์ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนจะแสดงออกได้ และถือว่าเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกของคน รวมถึงแสดงถึงการให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ตั้งใจทำงาน
ส่วนสัญลักษณ์รูปเสือดำ ไม่ใช่แค่เรื่องของเสือดำตัวเดียว แต่มันกลายเป็นตัวแทนของความยุติธรรม และจิตสำนึกอนุรักษ์ป่า เป็นกระแสของสังคมที่ประชาชนอยากได้ความยุติธรรมจากคดีนี้จริงๆ ทางเราเองไม่ได้ไปพ่นกำแพงเพื่อสร้างความเลอะเทอะให้บ้านเมือง เราช่วยเจ้าหน้าที่ด้วยซ้ำ เพื่อไม่ต้องมาตามลบตามที่สาธารณะ เพราะหากศิลปินไปวาดในกำแพงที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านแล้ว ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปลบ ยกเว้นเจ้าของบ้านเอง ตนเชื่อว่าหากยังมีคนตามไปลบภาพอีก ลบเพียง 1 ภาพ อาจจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยภาพ
ตอนนี้กระแสตอบรับค่อนข้างดี ทั้งจากเจ้าของบ้านและศิลปิน แม้ว่ากระแสสังคมจะไม่ได้มีผลต่อกฎหมาย แต่ตนเชื่อว่า กระแสสังคมจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ควรดูถูกเสียงของประชาชน และควรที่จะฟังเสียงของประชาชน ซึ่งทุกคนกำลังรอว่า สุดท้ายแล้วคดีนี้ ผู้กระทำผิดจะได้รับความผิดอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้
นายชวัส จำปาแสน ศิลปินวาดภาพสตรีทอาร์ต กล่าวว่า ตนเองได้ติดตามข่าวของเสือดำ แล้วรู้สึกว่า ชาวบ้านหลายคนโดนจับข้อหาฆ่าสัตว์ และดำเนินคดีโดยเร็ว แต่กับคดีนี้ ตนคิดว่ามีความไม่ชอบมาพากล ที่นำไปสู่ความไม่ยุติธรรม ความไม่เท่าเทียม ซึ่งถ้าเรื่องนี้ฝ่ายผู้กระทำผิดไม่ได้ถูกดำเนินคดี ก็จะสร้างบรรทัดฐานทางสังคมที่เปลี่ยนไป อาจเกิดความเชื่อว่า คนที่เงินมากกว่า ก็สามารถทำเรื่องผิดกฎหมายแล้วใช้เงินมาแก้ปัญหาได้
ส่วนที่การออกพ่นกำแพงลายเสือดำ ตนยอมรับว่าเป็นกระแส แต่มันเป็นกระแสในทางที่ดี เพราะถ้าทำแล้วไม่เป็นกระแส คนก็จะไม่ตอบรับแล้วก็จะไม่สามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหวได้
ซึ่งตนรู้ว่าการวาดกำแพงเสือดำผิดกฎหมาย เพราะไปวาดบนกำแพงในที่สาธารณะ แต่พอได้เห็นว่าทางเพจเฟซบุ๊ก "A CALL for Animal Rights Thailand" เป็นตัวกลางเปิดโอกาส ให้ศิลปินและเจ้าของบ้าน ได้สร้างสรรค์ผลงานเสือดำ ตนจึงเข้าไปบอกว่า ตนสามารถไปวาดรูปเสือดำได้ในพิกัดย่านปิ่นเกล้า เจ้าของบ้านที่อยู่ในละแวกดังกล่าวจึงติดต่อมา
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ตนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ในราคาประมาณ 600 บาท ซึ่งตนมองว่า การเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ ก็เหมือนกับได้ไปบริจาคเงินช่วยเด็กกำพร้า หรือ นำเงินเข้าวัด ทั้งตนเองยังได้ใช้ฝีมือ และลงแรงประมาณ 2 ชั่วโมง ในการออกแบบผลงาน ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมา คุ้มค่าเกินกว่าเงิน 600 บาท ที่ตนเสียไป
ส่วนเรื่องภาพเสือดำถูกลบ ตนคิดว่าดีแล้ว พอโดนลบก็กลายเป็นกระแส ตนเองก็ยอมวาดใหม่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่ได้กลัวว่าใครจะมาลบผลงาน เพราะตนก็วาดภาพบนกำแพงที่เจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว
ด้าน
น.ส.ภาธีตา กันตามระ หรือดีเจปูเป้ พิธีกรและนักจัดรายการ เจ้าของบ้านที่ นายชวัส ได้ไปวาดรูปเสือดำ กล่าวว่า ตนได้ติดตามข่าวมาตั้งแต่แรก และเกิดความรู้สึกสงสัยว่า มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับคดีหรือไม่ ซึ่งแต่ละครั้งที่ฟังการแถลงข่าว ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ในระยะหลัง มีกลุ่มของศิลปินไปสร้างสีสันเรื่องเสือดำบนกำแพง ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด หรือมีคำหยาบคายใดๆ แต่กลับถูกลบออกไป ตนจึงเกิดความสงสัยอย่างมาก เพราะหากเจ้าหน้าที่อ้างว่าลบเพื่อความสะอาด ก็ควรลบภาพใกล้เคียงกันที่มีการวาดรูปอื่นๆ ออกไปด้วย
ส่วนภาพบนกำแพงเรื่องเสือดำของ คุณอเล็กซ์ ซึ่งตนก็เป็นแฟนคลับของศิลปินคนดังกล่าว วาดภาพน้องมาร์ดี จมูกยาว บนหัวมีสัญลักษณ์ของเสือดำ ซึ่งตนเองมองว่าภาพนี้น่ารักมาก แต่ก็ถูกลบออกไป เป็นรูปที่สองเหมือนกับเหตุการณ์แรก ขณะที่รูปอื่นๆ ในกำแพงติดกันกลับไม่ได้ถูกลบไป ซึ่งตนเองไม่ทราบว่าใครลบ แต่คิดว่าบังเอิญเกินไปหรือไม่ ที่จะต้องลบรูปที่แสดงสัญลักษณ์เรื่องเสือดำออกไปทั้งหมด
จนกระทั่ง ตนได้มาติดตามข่าวจากเพจเฟซบุ๊ก "A CALL for Animal Rights Thailand" ซึ่งเปิดให้จับคู่ระหว่างเจ้าของบ้านกับศิลปิน ตนจึงติดต่อทางศิลปินไป ให้มาวาดรูปเสือดำที่กำแพงบ้านของตน ซึ่งมีพิกัดที่อยู่ใกล้กับชุมชน ติดกับเขตของโรงเรียน โรงงานและหอพัก
โดยรูปภาพที่ศิลปินของตนได้วาดไว้ เป็นรูปของเสือดำสองตัว โดยกำแพงแรก เป็นรูปเสือดำตัวเมียถูกยิง ส่วนอีกภาพ คือเสือดำตัวผู้กำลังร้องไห้ สื่อความหมายการถูกพลัดพรากคู่ของตัวเอง ซึ่งตนก็ไม่กลัว หากใครจะมองว่าเกาะกระแสเสือดำ เพราะตนเองมีความรู้สึกไม่พอใจกับคดีนี้ แล้วศิลปินที่วาดภาพก็แสดงออกอย่างเปิดเผย ไม่ได้ไปวาดรูปอยู่บนหัวใคร อีกทั้ง ตนเป็นเจ้าของบ้าน ก็มีสิทธิ์เต็มที่ในการออกแบบสีสัน เหมือนกับตกแต่งกำแพงบ้านเท่านั้น ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าบ้านของตน ตนเพียงต้องการให้เกิดการกระตุ้นเรื่องการรักษ์สัตว์ป่าและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่การแขวะหรือต่อว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านคดี เพราะเหตุการณ์นี้แสดงถึงความสมบูรณ์ของผืนป่าไทยที่มีเสือดำอาศัยอยู่ แต่กลับถูกคนประหลาดบางคนไปเอาชีวิตของมันมา