ช่วงนี้กระแสนางงามกำลังมาแรงแซงโค้ง รายการ ต้มยำอมรินทร์ จึงได้เชิญสาวงามจากเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2018 "นิ้ง โศภิดา จิระไตรธาร" มานั่งพูดคุยอัปเดตชีวิตหลังจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จเรียบร้อย ก็หายหน้าหายตาจากวงการบันเทิงไปเลย และนี่คือที่แรกที่ "นิ้ง โศภิดา" มาเปิดใจถึงช่วงที่ตัวเองหายไป พร้อมเผยความลับตอนประกวดที่ไม่เคยบอกใคร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม" อวดตะกรุดวัดดัง เชื่อช่วยให้รุ่งเรือง-รอดตายปาฏิหาริย์
- คุณพ่อลูกแฝด "เอ็ม อภินันท์" ยอมรับติดลูกมากกว่าภรรยา!
- เปิดความติสท์ของสามีแห่งชาติยุค 90 "เจ มณฑล" ที่ฟังแล้วมีอึ้งแน่นอน!
- "โจนัส แอนเดอร์สัน" เปิดตัวเพลงใหม่ "ฝรั่ง คลั่ง ไคล้" ฉลองครบรอบ 20 ปี
- "บิณฑ์" อุทิศชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์กว่า 30 ปี เลิกคิดเรื่อง "ความรัก"
- "อ๊อด โฟร์เอส" เล่ามรสุมชีวิตป่วยเป็นอัมพฤกษ์ แต่ลุกขึ้นสู้จนได้เป็นเจ้าพ่อรำวงชาวบ้านชื่อดัง
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม หลังจากประกวดเสร็จ หายหน้าหายตาไปไหน
นิ้ง โศภิดา : หลังจากประกวดเสร็จเดือนธันวาคม อีกสองเดือนนิ้งกลับไปทำงานเลย ตอนแรกเป็นผู้จัดการแบงก์ แต่เราไปลาออกตอนช่วงเดือนธันวาคม เพราะว่าแฟนเราตอนนั้นเขาก็ทำงานแล้ว ถ้าเราทำงานแบงก์ เราก็ไม่มีเวลาให้แฟนจริงๆ เราก็เลยลาออกไปทำงานกับแฟนเป็น CFO ให้เขา
ถาม ปกตินางงามได้มง จะต้องเข้าวงการบันเทิงแน่นอน แต่ทำไมเรามาเลือกทำงานซึ่งมันไม่ใช่สายบันเทิง ทั้งๆ ที่สายบันเทิงจะได้ความดัง ได้เงินเยอะกว่า มีชื่อเสียง แต่ทำไมเลือกมาทางนี้
นิ้ง โศภิดา : ตอนนั้นเรามีทางเลือกสองทาง ไปซ้าย ไปขวา แต่เรายังมีไฟทางด้านนี้ เราจบไฟแนนซ์มา พ่อแม่อุตส่าห์ส่งไปเรียนที่อเมริกา เขาใช้เงินที่ส่งเราไปเรียนคือเยอะมาก ใช้เงินส่งเราหมด จนแทบจะไม่เหลือเลย แล้วนิ้งยังมีน้องที่พิการคนกลาง แล้วคนเล็กห่างจากเราประมาณ 8 ปี เรายังต้องดูแลต่อ เราเลยอยากเอาวิชาความรู้ที่เราเรียนมา ไฟแนนซ์ มาช่วยบริษัทของสามีทำให้บริษัทเราแข็งแกร่งขึ้น เพื่อวันหนึ่งเรามีเงินเราไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไปได้
ถาม แล้วทำไมถึงมาประกวดนางงาม
นิ้ง โศภิดา : เพราะเป็นฝันเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่ง ฝันตั้งแต่เด็กจนโต จนทำงานแล้ว มันยังติดอยู่ว่าฉันไม่ได้ทำ ฉันจะเสียใจไหม เพราะเราเป็นแฟนนางงาม ดูนางงาม อยากประกวด อยากขึ้นไปเดิน อยากขึ้นไปพูด และเพื่อนนิ้งทุกคนบอกว่า นิ้ง ไม่สามารถเป็นได้ เพราะเราดูห้าวๆ ไม่โอเค ขนาดพ่อแม่เรายังบอกว่า นิ้ง ลูกเอาเข้าแค่ 40 ก็พอนะ พ่อแม่ไม่อยากขายหน้า เราเลยตัดสินใจเข้าประกวด เวลาเราทำอะไรเราทำจริงจัง เรามีเวลาเตรียมตัว 6 เดือน เราก็คิดวางแผนเลย เราขอนายก่อนเลย นายขา ขอไปทำหน้าที่ความฝัน ลางานเลย 3 เดือน หยุดทำงาน 3 เดือน ไม่เอาเงินเดือน
ถาม ณ วันนี้ ยังคงปฏิเสธงานในวงการบันเทิงอยู่ไหม
นิ้ง โศภิดา : ตอนนี้นิ้งมีลูกด้วย ให้นมลูก 6 เดือนครึ่ง เป็นแม่ลูกอ่อนเลยช่วงนี้ รับงานในวงการบันเทิงที่รายการต้มยำอมรินทร์ที่แรก ที่มานั่งจริงๆ เป็นรายการจริงๆ หลังหายจากวงการไป 2 ปีได้ค่ะ เพราะตอนนั้นเราทำงานธุรกิจอย่างเดียวเลย
ถาม แล้วไปเจอกับสามีได้ยังไง คบกันก่อนมงลงหรือหลังมงลงแล้ว
นิ้ง โศภิดา :ตั้งแต่เราประกวดเสร็จเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์แล้ว เขาเราไปเจอเขาที่โบสถ์ ไม่เคยคุยกัน มาคุยกันอีกครั้งคือใส่แว่นเขาไปแล้ว เป็นลูกค้าเขาไปแล้ว อีกธุรกิจของเขาอีกอย่างหนึ่ง นำเข้าแว่นด้วยค่ะ แล้วเขาก็ส่งข้อความใน IG เขารู้ว่าเราเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ค่ะ เขาก็ไม่กล้าจีบ เขาก็ชมว่าเราสวยนะ จริงๆ ก็มีใจให้เขานิดนึงตั้งแต่อยู่โบสถ์แล้วค่ะ เขาเป็นคนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อยู่ที่ไทยค่ะ แต่พูดไทยได้นะคะ เพราะเขาอยู่ที่ไทย
ถาม ก่อนที่จะมาเจอแฟนคนนี้ โสดมานานมาก นิ้งตั้งสเปกไว้สูงมาก
นิ้ง โศภิดา : ปิดประตูหัวใจเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ตามสเปกที่เราตั้งไว้ เราจะไม่คุยเลย เพราะเสียเวลา สเปกที่นิ้งตั้งไว้คือต้องสูง 180 แก่กว่าเรา เล่นดนตรีได้ เป็นนักธุรกิจ นิ้งชอบผู้ชายเก่ง ฉลาด เราจะได้เรียนรู้จากเขา แต่ที่เปิดใจให้แฟนเพราะเรารู้จักเขาอยู่แล้วระดับหนึ่ง เราเคยเห็นเขาเล่นกีตาร์ในโบสถ์ เขาเหมือนคนอายุ 20 แต่ตอนนี้เขา 32-33 แล้ว มีอายุพอสมควร จบวิศวะด้วยของ NUS เป็นมหาวิทยาลัยที่นิ้งอยากเข้า แต่ไม่ได้เข้า แต่เขาก็เป๊ะแบบ พร้อมมาก แต่ที่เปิดใจให้เขา เพราะเราปิ๊งเขาก่อน แต่เพราะหน้าเขายังดูเด็ก เราเลยไม่แน่ใจว่าจะตรงกับสเปกที่เราตั้งไว้ไหม แต่พอคนที่โบสถ์เขาบอกว่าเธอ เขาเป็นคนมีงานมีการนะ แล้วเราก็ไปค้นหาก็เลยรู้ว่าเขาทำงานอะไร จบที่ไหนมา หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน คบกันไม่นาน ก็แต่งเลย ถูกชะตา แล้วคือตอนแรกเขาคิดว่าเราหลอกเขาด้วย เขาคิดว่าเราไม่จริงใจกับเขา
ถาม ตอนที่เข้าไปเก็บตัว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ มีทะเลาะกันบ้างไหม
นิ้ง โศภิดา : มีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ เขาหายไปเลย ปกติเขาจะส่งมาซัพพอร์ตเรา ส่งขนมมาให้ แต่หายไปเพราะเข้าใจผิดคิดว่านิ้งไม่รักเขา หลอกเขา ตอนนั้นเราก็พูดกับพระเจ้าว่า ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่ใช่เนื้อคู่เราจริงๆ เราก็จะตัดเขาออกไป เพราะเรามีหน้าที่ที่เราจะทำอยู่ข้างหน้า แต่เราก็ปรับความเข้าใจกันค่ะ เพราะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแค่นั้น
ถาม แล้วก็เตรียมตัวเป็นนางงามยังไงบ้าง
นิ้ง โศภิดา : อย่างแรกต้องหุ่นเลย นิ้งเตรียมตัวตั้งแต่ปี 2017 เก็บเงิน เอาเงินเดือนชนเดือนมาจ้างเทนเนอร์ส่วนตัว เข้ายิม เพราะตอนนั้นเราก็มีพุง เราฟิตหุ่นประมาณ 1 ปี แล้วก็ก่อนหน้าประกวด 6 เดือน นิ้งก็ไปเข้าคอร์สกับพี่กวาง ฟ้ารุ่ง ไปลง 6 คอร์ส คอร์สละ 3 หมื่นอัพค่ะ ทำให้สุดไปเลย เรียนตัวต่อตัวด้วย มีวิธีการเดิน การพูด เพราะเราเป็นคนพูดน้อย เราพูดจะติดๆ นิดนึง แต่ครูเขาก็จะพยายามดึงตัวตนของเราออกมา ให้ความมั่นใจของเราออกมา ก่อนประกวด นิ้งใส่ส้นสูงไม่เป็น นิ้ว สองนิ้วคือไม่ได้แล้ว แต่เราต้องไปเดินทั้งวัน แต่สุดท้ายที่เราไปเรียนและด้วยความตั้งใจจากลูกเป็ดขี้เหร่ก็ไปได้
ถาม การประกวดครั้งนี้ทุ่มสุดตัวจริงๆ ถึงขั้นขายรถ
นิ้ง โศภิดา : เงินที่เราเก็บหมดแล้ว แต่ยังมีค่าช่างแต่งหน้า โน้นนี่อีกเยอะ เรื่องค่าใช้จ่าย เราก็เลยตัดสินใจ พ่อขายรถเถอะ เอามาช่วยซัพพอร์ตหน่อย ตอนนั้นที่ขายรถคือได้มงแล้วค่ะ สปอนเซอร์ก็มี แต่บ้านเราทำอะไรคือสุดมาก ทุกอย่างต้องดี คุณพ่อขับรถไปให้ตลอด ที่ขายรถก็เพราะเองเงินไปซื้อชุดสวยๆ ค่ะ
ถาม ปี 2018 ไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์ส นิ้งติด 1 ใน 10 ด้วย
นิ้ง โศภิดา : ตอนนั้นดราม่าหนักเหมือนกันค่ะ เป็นเด็กเส้นของประเทศไทยหรือเปล่า ทุกวันนี้นิ้งยังโดนอยู่เลย แบบส่งข้อความมาว่าเราซื้อมงมา 5 ล้าน 10 ล้าน เราก็นึกในใจ ฉันมีเงินมากเลยนะ เราโดนครหามาเยอะมากตั้งแต่ได้มง MUT เราโดนมาตลอด เราเป็นคนไม่พูด แต่เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่เราไม่พูดไม่ใช่เราไม่รู้สึก ช่วง MUT เรารู้สึกเยอะมาก ช่วง 1-2 เดือน เราโดนพลังลบเยอะมาก เข้าไปโซเชียลคือโดนด่าเละมากเลย แต่เราก็มาตั้งหลักใหม่ เราเป็น MUT เราเป็นเจ้าภาพด้วย ทำยังไง ถ้าเราไปสนใจคำพูดครหา เราจะไม่เป็นเราเลย เราคิดตอนนั้นคือฉันสวยแบบนี้ เราเอาความเรานี่แหละไปแข่ง เอาความรู้ ความสามารถที่ดีไปแข่ง ซึ่งก็ติด 1 ใน 10 คนเชียร์เราเยอะมาก น้ำตาเราไหลเลย
ถาม แต่ถึงจะพลาดมงจากเวทีมิสยูนิเวิร์สไป แต่ได้สามีมาแทน และตอนนี้ก็มีลูกชายวัย 6 เดือนแล้วด้วย คือน้องเจมี่
นิ้ง โศภิดา : เป็นคุณแม่ฟูลไทม์เลยค่ะ เพราะเราทำงานที่บ้านด้วย เราไม่จ้างพี่เลี้ยง นิ้งกับเจไดตัดสินใจกันตั้งแต่ที่เราแต่งงาน ถ้ามีลูก เราขอช่วยกันเลี้ยงกันสองคน เพราะเราอยากให้ลูกเห็นเราอยู่ด้วยกัน เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลย เลี้ยงลูกด้วยตัวเองแบบนี้ อย่างให้นมลูกคือนมเราเอง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจะมีคนที่สองไหม ขอเลี้ยงคนแรกให้ดีที่สุดก่อนค่ะ
ถาม เห็นว่าเตรียมธุรกิจไว้ให้เจมี่แล้วด้วย
นิ้ง โศภิดา : ปลาค็อดจักรวาล มันคือหนังปลาค็อดที่ทอดด้วยน้ำมันมะพร้าว แล้วรีดน้ำมันออกให้หมด เพราะเราเป็นคนทานคลีน เราทั้งสองคนชอบทานปลา มีโปรตีนสูง เราเลยเลือกที่จะผลิตขึ้นมา มีหลายรสชาติ สายคลีนล้วน ไม่มีอะไรผสมเลย หรือจะเป็นรสไข่เค็ม ถ้าสนใจมาสั่งได้ที่ IG : jakrawan.codskin
ถาม มาถามคุณสามีบ้างดีกว่า ก่อนแต่งกับหลังแต่งงาน นิ้งเป็นยังไง
เจได : ดีขึ้นครับ เราได้เห็นเขาอีกมุม ได้เห็นเขาหัวเราะ ได้เห็นมุมอารมณ์ขันของเขา เพราะเราได้มีโอกาสใช้เวลากับเขาตลอด ได้เห็นความเป๊ะของเขา ความน่ารัก ความเป็นคุณแม่ของเขา ทุกอย่างมันดีขึ้นหมดครับหลังแต่งงาน