"แม่ก้อย ทาริกา ธิดาทิตย์" นักแสดงมากความสามารถที่อยู่ในวงการบันเทิงไทยมากว่า 50 ปี โดยผลงานสร้างชื่อเสียงที่ทำให้ทุกคนจดจำก็คือการรับบทบาทเป็นทั้งนางเอกและนางร้ายในภาพยนตร์โบตั๋น พยานบาป บ้านทรายทอง และอีกมากมาย สมบทบาทถึงขนาดเดินตลาดไม่ได้! มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ทั้งที แม่ก้อย ได้เล่าย้อนวันวานพาไปรู้จักจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการของตัวเอง เคยปังถึงขนาด 1 เดือน รับงานภาพยนตร์ถึง 60 เรื่อง และการก้าวเข้ามาเป็นผู้จัดละคร พร้อมกับเผยที่มาของฉายา "ผู้จัดใจบุญ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "อ้อย กะท้อน" ดังระดับซุปเปอร์สตาร์แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าผ่าตัด ช้ำหนักถึงขั้นเลิกร้องเพลง!
- "นิ้ง โศภิดา" เปิดใจครั้งแรก! เผยความลับตอนประกวดที่ไม่เคยบอกใคร
- "จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม" อวดตะกรุดวัดดัง เชื่อช่วยให้รุ่งเรือง-รอดตายปาฏิหาริย์
- คุณพ่อลูกแฝด "เอ็ม อภินันท์" ยอมรับติดลูกมากกว่าภรรยา!
- เปิดความติสท์ของสามีแห่งชาติยุค 90 "เจ มณฑล" ที่ฟังแล้วมีอึ้งแน่นอน!
- "โจนัส แอนเดอร์สัน" เปิดตัวเพลงใหม่ "ฝรั่ง คลั่ง ไคล้" ฉลองครบรอบ 20 ปี
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม แม่ก้อย อยู่วงการมากี่ปีแล้ว
แม่ก้อย ทาริกา : ตั้งแต่แม่อายุ 18 ปี ตอนนั้นได้รู้จัก พี่ติ่ง ชวนแม่มาเล่นหนัง พอเราตกลงว่าเราจะเล่น ได้มาหา คุณไชยา สุริยัน ตอนนั้นเริ่มจากหนังก่อนเลย คุณไชยาจะทำหนังเรื่องหนึ่ง ต้องการนางเอก 2 คน แล้วต้องการคนที่ผมยาวมากๆ เริ่มเข้าวงการจากการเล่นหนังใหญ่เรื่อง ธนูสวาท มีนางเอก 2 คน คือ ทาริกา ธิดาทิตย์ และ ชีวัน จันทรายุ ซึ่งหนังเรื่องนี้ ทำให้เราได้นามสกุลในวงการมาคือ ธิดาทิตย์ ที่แปลว่าลูกสาวของพระอาทิตย์ โดยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้คนก็รู้จักเราในชื่อของ ทาริกา ธิดาทิพย์
ถาม แต่หนังเรื่องแรกที่เล่นถึงแม้จะไม่ปัง แต่ แม่ก้อย กลับดังแทน
แม่ก้อย ทาริกา : หลังจากหนังเรื่องนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าฝันเราเป็นจริง ซึ่งการเริ่มต้นของเราครั้งแรกหนังใหญ่เราเป็นนางเอก แต่หลังจากนั้นหนังใหญ่เราไม่เคยได้เป็นนางเอกเลย เป็นนางร้ายตลอดมา ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรในตัวแม่ไม่รู้ จนกระทั่ง พี่รุจน์ รณภพ ก็มาบอกว่าจะทำบ้านทรายทอง แต่เธอเป็นหญิงใหญ่ไม่ได้ เธอเป็นหญิงเล็กแล้วกัน เพราะท่าทางเธอดี (หัวเราะ) มันเป็นคำชมไง พอเราเล่นเรื่องนี้ ทำให้เรารู้เลยว่าเวลาโด่งดังถึงขีดสุด มันมีความรู้สึกภูมิใจ เพราะที่เราเล่นบ้านทรายทอง เป็นหญิงเล็ก เราเล่นร้ายถึงขีดสุดเลย เราภูมิใจเพราะมีคนมาชี้หน้าด่าเราว่าถ้าไม่เลว จะเล่นได้แบบนี้เหรอ เราไปเดินในซอยแถมโคลีเซียมไปซื้อโอเลี้ยง เขาไม่ขาย เขาปาใส่เราเลยจริงๆ โกรธเกลียดจริง เขาอินมาก แต่เรามีความภูมิใจนะที่ทำให้เขาเกลียดได้ถึงขนาดนั้น ความดังของยุคสมัยก่อน เขาวัดจากแอคติ้งของเรา ว่าเราเล่นได้ถึงบทขนาดไหน เดินไปตามท้องถนน คนเกลียดขนาดไหน อยากสำรวจความนิยมก็ไปเดินตลาด คนจะด่าเราเยอะแค่ไหน เรารู้ได้
ถาม แต่เพราะเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับการทำงานมากๆ ถึงขนาดโกนหัวบวชชี แม่ก้อยก็โกนจริงๆ
แม่ก้อย ทาริกา : ใช่ค่ะ โกนจริงค่ะ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีสเปเชียลเอฟเฟค สมัยนั้นต้องจริงมากๆ ในเรื่องนั้นเราต้องพลิกบท เราเล่นบทร้ายคนเกลียดตลอดเวลา พอเรามาเล่นบทนี้ คนดูเห็นแล้วสงสาร ความนิยมของประชาชนจะขึ้นลงตามบทที่เราเล่น ตอนนั้นที่ยอมตัดผมยาวสวยๆ เพราะเราเห็นแก่บทบาท เรายินดีที่จะทุ่มเทในทุกๆ บทบาทที่เราได้รับ ซึ่งคนที่ติดต่อมาตอนนั้น คือ คุณภา คราประยูร ซึ่งในวงการคือคุณป้ามหาภัย ลูกชายเขาคือคุณชนะ คราประยูร ซึ่งเราสนิทกัน ก็กลัวเขา ตอนนั้น 20 กว่าๆ เอง ต้องโกนคิ้วด้วย แล้วคุณป้าภาบอกว่าฉันทำวิกให้ 32 อัน เราก็ใส่วิกที่เขาทำให้ มาเล่นเรื่องอื่นๆระหว่างรอผมขึ้น
แม่ก้อย ทาริกา : ถามว่าการโกนหัวของเราเป็นอะไรที่แปลกใหม่เลยนะ เพราะว่าคุณเริงศิริ ลิมอักษร คุณม้า อรนภา ตั้งคิ้ววาดคิ้วให้เท่เลย ใส่ต่างหูพวงใหญ่ หัวโล้น แล้วเราก็มีผ้าโพกหัว กลายเป็นเปรี้ยวไปเลย นำสมัย
ถาม ด้วยความทุ่มเททั้งกายและใจ แม่ก้อยเคยได้รับรางวัลระดับเอเชียแปซิฟิก
แม่ก้อย ทาริกา : เรื่อง เหนือกว่ารัก ที่ทำให้ได้รับรางวัลนี้ บทที่เราโกนหัวนั่นเลยค่ะ พี่เปี๊ยก อรัญญา เข้าชิงในบทนางเอก เราเข้าชิงบทนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมของเอเชีย แปซิฟิก ฟิล์มเฟสติวัล
ถาม เรียกว่าบทบาทที่ได้รับมาคือสารพัดบทบาท แล้วบทไหนที่แม่ก้อยชอบมากที่สุด
แม่ก้อย ทาริกา : แม่ชอบทุกบท เราเป็นนักแสดง เราต้องเป็นตัวนั้นให้ได้ แล้วมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นละคร เราเต็มที่กับทุกตัวละคร ส่วนเรื่องที่ประทับใจที่สุด คือเรื่องที่ตู่ นพพล ให้เล่น ประทับใจเพราะว่าเขาให้พูดน้อยมาก เขาให้เล่นเป็นคนที่ปากเบี้ยว แล้วก็ต้องแอคติ้งตามนั้นแล้วก็ต้องให้อ่านให้ออก นพพล เขาเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งนะ เขาจะดูหน้าเราผ่านหน้ากล้อง ให้เราแสดงสื่อคำพูดออกมาทางสีหน้า อันนี้ประทับใจ แต่ที่ผ่านมาแม่ชอบทุกเรื่อง รักทุกเรื่อง
ถาม แม่ก้อยจำได้ไหมว่ารับเล่นมาแล้วกี่เรื่อง
แม่ก้อย ทาริกา : แม่เคยรับหนังถึง 60 เรื่องใน 1 เดือน คือผู้กำกับเขามีหลายคน เราก็เป็นตัวตาม ให้คิวผู้กำกับคนนี้ตอนเช้า คิวของผู้กำกับคนนี้กลางคืน เมื่อก่อนถ่ายหนังไม่เหมือนกับถ่ายละครตอนนี้นะ เพราะเราแค่งับปากให้ทันเท่านั้นเองเพราะเขามีเสียงพากย์ เราไม่ต้องท่องบท
ถาม จากนักแสดงมาสู่ผู้จัด บทบาทไหนสนุกท้าทายมากกว่ากัน
แม่ก้อย ทาริกา : ผู้จัดค่ะ เพราะเราต้องดูทุกอย่าง ทุกส่วน ตั้งแต่บท เวลา นักแสดง การจัดการกอง ความเป็นระเบียบ ทุกสิ่งทุกอย่าง พอมาเป็นผู้จัด ก็ได้ฉายาว่า ผู้จัดใจบุญ เพราะเราไปเข้าวัดทำบุญ เพื่อนๆ ก็ชวนไปสม่ำเสมอ เราไปแล้วเรารู้สึกสบายใจ ล่าสุดก็เพิ่งได้รางวัลเชิดชูเกียรติพระพุทธศาสนามา เพราะว่าแม่จัดทริปน้องๆ ไปอินเดีย ไปแสวงบุญ ไปมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เขาคงเห็นว่าแม่มาทางนี้บ่อย ก็เลยให้รางวัลเสาเสมาธรรมจักรทองคำจากกรมศาสนา จะได้รับปีหน้า เพราะปีนี้ติดโควิด ที่เราได้รางวัลนี้เพราะเราได้ไปเชิญชวนให้ทุกคนได้ทํานุบํารุงศาสนาไทย จากการที่เราได้ไปเห็นสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนา ซึ่งก่อนที่เราจะทำให้ทุกคนได้เข้าใจ ตัวของเราเองต้องเข้าใจก่อน และตอบได้ทั้งหมด เหมือนเป็นผู้เผยแพร่คนหนึ่ง
ถาม เห็นสายธรรมแบบนี้ แต่แม่ก้อยก็ยังเปรี้ยวอยู่
แม่ก้อย ทาริกา : ก็ยังคึกอยู่ เวลาที่เราว่าง เราก็ไปเจอกันที่บ้านพี่โย ทัศน์วรรณ กลุ่มแม่ก็จะมี พี่จิ๋ม มยุรฉัตร และอีกเยอะมาก ไปเล่นโยคะ ไปหาอะไรทาน แล้วตอนนี้ น้องขวัญ เขาทำเพจ Mom&Me ทำเพจให้พวกแม่ๆ ไปกิน ไปทานกัน เป็นความสุข สนุกมากๆ
ถาม ซึ่งในระยะเวลาที่ แม่ก้อย อยู่ในวงการมา เห็นความเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบันยังไงบ้าง
ก้อย ทาริกา : เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อก่อนเราเป็นนักแสดง ต้องหาเสื้อผ้าเอง ติดต่อเอง แต่งหน้าเอง สมัยนี้ใส่รองเท้าก็มีคนใส่ให้ จะใส่เสื้อผ้าอะไรก็มีคนเตรียมให้ อยากจะฝากถึงคนในวงการรุ่นใหม่ ต้องคิดก่อนนะคะว่าการเป็นดารากับนักแสดง ต้องแยกกันให้ออก ดาราคือมาแค่ไม่นาน เป็นดาวแล้วก็หายไป แต่การเป็นนักแสดงมันอยู่นาน เพราะว่าเรารับจ้างแสดง ถ่ายทอดตัวหนังสือออกมาให้เป็นบทบาท เราต้องซื่อสัตย์ รักในอาชีพ เรารับงานรับเงินเขาแล้ว เราต้องทำให้อย่างเต็มที่ แลกเปลี่ยนกันด้วยใจ อาชีพเราเป็นอาชีพที่อยู่ได้นาน แค่เราต้องซื่อสัตย์กับอาชีพของเรา