จากกรณีครอบครัวของพลทหารรชฏ เสนาสนิท ร้องเรียนผ่านทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ว่าลูกชาย อายุ 21 ปี สมัครเป็นทหาร ค่ายแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เข้าฝึกเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 63 ต่อมาเสียชีวิตวันที่ 1 พ.ย. ตอนตี 4 ทางผบ.โทรมาแจงว่าลูกผูกคอตายในกระท่อมกลางน้ำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสร้างความสงสัยสาเหตุการตายให้กับครอบครัวอย่างมาก
ล่าสุด วันที่ 10 พ.ย. 63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังบ้านโนนสวรรค์ ต.หนองน้ำใส อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นายสุรชัย เสนาสนิท พ่อของพลทหารที่เสียชีวิต เปิดเผยว่า สำหรับพลทหารรชฏ ลูกชายตน อายุ 21 ปี สมัครเป็นทหาร ค่ายแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เข้าฝึกเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 63 และลาพักร้อนกลับบ้าน 12 ต.ค. 63 กลับค่ายวันที่ 25 ต.ค. ฝึกเสร็จเข้าหน่วยโดนส่งไปอยู่หน่วยเรือนจำในค่าย 27 ต.ค. ต่อมาเสียชีวิตวันที่ 1 พ.ย. ตอนตี 4 ทางผบ.โทรมาแจงว่าลูกผูกคอตายในกระท่อมกลางน้ำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสร้างความสงสัยสาเหตุการตายให้กับครอบครัวอย่างมาก
วันที่ 28 ต.ค. 63 เวลา 21.19 น. ลูกชายได้ส่งแชตเฟชบุ๊กคุยกับแม่ของเขา เพื่อถามทุกข์สุขกับผู้เป็นแม่ ต่อมาวันที่ 31 ต.ค. 63 เวลา 19.02 น. ลูกชายได้แชตเฟชบุ๊กพูดคุยกับตน โดยเนื้อหาที่พูดคุยลูกชายบอกว่า "สบายดี ที่ค่ายให้ทำงานส่งเอกสารกับรับส่งกุญแจ" จากนั้นตนก็ได้เตือนลูกชายเรื่องการสูบบุหรี่ เวลา 20.42 น. ลุกชายได้คุยแชตกับรุ่นพี่ในค่ายทหาร และรุ่นพี่คนดังกล่าวเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยแชตกับลูกชายตน
ต่อมา วันที่ 1 พ.ย. เวลา 06.00 น. ค่ายทหารได้โทรศัพท์มาแจ้งตนว่าลูกชายได้ผูกคอตายในเรือนจำ ตนไม่เชื่อว่าลูกชายจะผูกคอตายจริง เนื่องจากลูกลายเป็นคนที่มีนิสัยขี้กลัว หลังจากทราบข่าว ตนและภรรยาได้เดินทางไปติดตามการตายของลูกชายที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เนื่องจากศพของลูกชายได้ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ได้ผ่าชันสูตรศพ
ระหว่างนั้น ทางเจ้าหน้าที่ทหาร ได้นำภาพถ่ายในที่เกิดเหตุให้กับตนเองดู โดยสภาพศพของลูกชาย ได้ผูกคอห้อยกับคานกระท่อม ที่ตั้งอยู่ในหนองน้ำของเรือนจำสภาพศพลูกชาย สวมกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้า เสื้อยืดสีเทาแขนเขียว คอตก ผูกคอผ้าขาวม้า สีน้ำเงินขาว มีคราบเลือดติดที่หน้าผาก แขนซ้ายและข้อมือซ้ายมีเลือดติด ทางค่ายอ้างว่ากรีดข้อมือ มือทั้งสองข้างหงิก มีมีดปลอกผลไม้ วางอยู่บนกระท่อมด้านหลังศพของลูกชาย นอกจากนี้ในกระท่อม ยังมีโทรศัพท์ของลูกชายวางบนหมอน และรองเท้าแตะวางข้างหมอน
โดยทางค่ายให้แต่เพียงตนดูภาพศพของลูกชายในที่เกิดเหตุ ไม่ได้ให้ตนเก็บภาพดังกล่าวไว้ ค่ายบอกกับตนอีกว่า ลูกชายตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และได้ใช้มีดกรีดแขนซ้าย ก่อนผูกคอตายในคืนวันที่ 31 ต.ค. และมีทหารในค่ายไปเจอศพลูกชายในเวลา 04.00 น. ของวันที่ 1 พ.ย.
ส่วนตัวแล้วตนไม่เชื่อว่าลูกชายจะก่อเหตุผูกคอตาย และมีอาการป่วยโรคซึมเศร้า เพราะลูกชายไม่เคยมีประวัติ รวมถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 3 วัน ลูกชายก็ยังทักแชตมาหาตนเอง ภรรยา และเพื่อนของเขา ส่วนคราบเลือดที่พบบนหน้าผากลูกชาย ตนก็ไม่รู้ว่ามีได้อย่างไร เนื่องจากสภาพศพของลูกชาย ไม่มีบาดแผลที่ศีรษะหรือหน้าผาก
ส่วนผ้าขาวม้าลายสีน้ำเงินขาว ที่ลูกชายใช้ผูกคอตายนั้น ตนได้สอบถามทางค่าย ซึ่งให้คำตอบตนว่าผ้าขาวม้าผืนที่ใช้ก่อเหตุ เป็นของลูกชายตน ซึ่งตนก็แปลกใจว่าตั้งแต่ตนเลี้ยงลูกมา ตนไม่เคยซื้อผ้าขาวม้าให้ลูกชายเลยสักครั้ง เคยซื้อแต่ผ้าขนหนูให้ลูกชาย แล้วลูกชายใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตายได้อย่างไร ซึ่งทางค่ายทหารก็ให้คำตอบตนใหม่ว่า ผ้าขาวม้าเป็นของทางค่าย ที่แจกให้กับทหารทุกนาย
ซึ่งเมื่อวานนี้ ตนเองได้ไปดูกล้องวงจรปิดเพียงด้านหน้าค่ายเท่านั้น ในกล้องก็เห็นลูกชายเวลา 12.00-15.00 น. ของวันที่ 31 ต.ค. 63 หลังจากนั้นก็ไม่เห็นลูกชายในกล้องอีกเลย ทางค่ายก็บอกว่าตอนเกิดเหตุไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ เนื่องจากทหารทุกนายได้นอนหลับกันหมดแล้ว
ทั้งนี้ตนเองก็ติดใจการตายของลูกชาย ไม่เชื่อว่าลูกชายจะก่อเหตุผูกคอตายในค่าย ตนเลี้ยงลูกมาตนรู้นิสัยลูกชายดี ถ้าลูกชายจะก่อเหตุฆ่าตัวตาย เขาต้องโทรมาบอกตน หรือแชตมาบอกตนว่ารักตนหรือขอโทษตนบ้าง เพื่อนในค่ายคนที่ตนได้พูดคุยสอบถามข้อมูลาก็บอกแค่ว่าลูกชายตนเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งลูกชายตนไม่เคยมีประวัติ
ตนตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่ลูกชายได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน ช่วงวันที่ 13 - 24 ต.ค. ลูกชายได้บอกกับตนว่า "ต้องฟิตร่างกายไว้ เพราะป้องกันการโดนรุ่นพี่แดก หรือรุ่นพี่รับน้อง" ซึ่งตนก็คาดว่าอาจมีการรับน้องจากรุ่นพี่ จนทำให้ลูกชายเป็นอะไรไปหรือไม่
ล่าสุด ตนเองได้ประสานทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือในกรณีการเสียชีวิตของลูกชายตนอีกด้วย ซึ่งถ้าผลตรวจชันสูตรออกมาว่าลูกชายตนไม่ได้เสียชีวิตเอง ก็อยากให้ทช่วยตนในการตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ อย่างไรก็ตาม วันที่เผาศพลูกชาย 5 พ.ย. 63 ผู้บังคับบัญชาที่มาร่วมงานศพของลูกชายสาบานต่อหน้าศพลูกชายว่า "ถ้ามีคนก่อเหตุทำร้ายลูกชายจริง เขาก็จะทำการลงโทษกับคนก่อเหตุ" หลังจากนี้ ถ้าผลชันสูตรออกมาว่าลูกชายเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายจริง ตนยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
นางสาวอุไร เตื่อยมา แม่ของพลทหาร เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนติดใจการตายของลูกชาย ซึ่งตนเชื่อว่าลูกชายไม่น่าจะก่อเหตุผูกคอตายได้ นิสัยของลูกชายเป็นคนที่กลัวเจ็บ และตนก็ติดใจที่ทางค่ายทหารให้แพทย์ผ่าชันสูตรศพลูกชาย ก่อนที่ตนจะไปถึงโรงพยาบาล ทำให้ตนไม่รู้ว่าสภาพศพลูกชายเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ เพื่อนทหารบอกกับตนอีกว่าลูกชายตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาสักระยะแล้ว และก่อนหน้าวันเกิดเหตุเห็นลูกชายตนเอามีดกรีดแขน ตนก็แปลกใจว่าถ้าลูกชายใช้มีดกรีดแขนจริง ทำไมที่แขนทั้งสองข้างถึงไม่มีแผลเป็น หรือมีร่องรอยบาดแผล มีแค่รอยเจาะที่แขนข้างซ้ายเท่านั้น นอกจากนี้ ตนก็แปลกใจว่าทหารในค่ายตั้งเยอะถึงไม่มีใครเห็นลูกชายก่อเหตุ สำหรับวันที่ 1 พ.ย. 63 ซึ่งเป็นวันที่ลูกชายตนเสียชีวิต ก็ตรงกับวันเกิดของเขาอีกด้วย
ช่วงนี้มีข่าวทหารตายในค่ายค่อนข้างมาก ตนก็อยากให้ทางค่ายทหารมีการชี้แจง และให้ความกระจ่างกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิตให้มากกว่านี้ หลังจากนี้ ตนก็จะเดินทางไปที่ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อให้ข้อมูลกับทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เพื่อให้ติดตามคดีของลูกชายตน ส่วนผลชันสูตรต้องรอหลังอีกประมาณ 40 วัน
สำหรับเหตุการณ์ที่มีพลทหารเสียชีวิตและเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา คือวันที่ 1 พ.ย. 63 พลทหารรชฏ เสนาสนิท เสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย ที่จ.ขอนแก่น, วันที่ 6 พ.ย. 63 พลทหารพิชวัฒน์ ผูกคอเสียชีวิตที่ จ.ร้อยเอ็ด และพลทหารสถาพร เสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวที่ จ.เพชรบูรณ์