ลูกสาวร้องสื่อ แม่ขี่มอเตอร์ไซค์ล้มหัวกระแทก เลือดออกในสมอง แต่หมอบอกให้กลับบ้าน ทั้งที่แม่สมองบวม สุดท้ายกลับไปบ้านแค่ 10 นาที เกิดอาการช็อกจนเสียชีวิต
น.ส.อัญญ์ฎานันท์ ไพศูนย์ 36 ปี ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่าแม่ของตนคือนางหนูคิด ไพศูนย์ อายุ 54 ปี ประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนขณะขับรถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรง ได้รับบาดเจ็บเลือดออกในสมอง ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเลยแพทย์และพยาบาลได้ทำการรักษาเฝ้าดูอาการ
จนกระทั่งถึง วันที่ 9 พ.ย. แพทย์เจ้าของไข้ได้ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ทั้งๆ ที่แม่ตนยังมีอาการปวดศีรษะและมึนงงอยู่ อีกทั้งยายผู้ดูแลแม่ก็บอกว่ายังไม่อยากกลับบ้าน ขอให้แพทย์รอดูอาการอีกระยะก่อน แต่ทางแพทย์ก็ยืนยันว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านอีกประมาณ 1 เดือน ก็หายเป็นปกติ
หลังจากนั้นตนพาแม่กลับบ้านเมื่อมาถึงได้ 10 นาที แม่เกิดอาการช็อกหมดสติ ตนและญาติได้พากันส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเชียงคาน พยาบาลก็ช่วยกันปั๊มหัวใจอาการยังไม่ดีขึ้นจึงรีบนำส่งต่อไปที่โรงพยาบาลเลยและเสียชีวิตในที่สุด
น.ส.อัญญ์ฎานันท์ เผยว่าตนและญาติทุกคนติดใจในสาเหตุการตายจึงขอให้โรงพยาบาลเลยส่งศพไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลศรีนครรินทร์ จ.ขอนแก่น ผลการผ่าแพทย์ระบุสาเหตุการตายว่าเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง สมองช้ำบวม ซึ่งตนมาทราบจากแพทย์ว่าโรงพยาบาลเลยไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง การรักษาต้องคอยปรึกษาถามจากแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีตลอด การที่แม่เสียชีวิตถือเป็นความผิดพลาดของแพทย์ไม่มีการตรวจซ้ำก่อนให้แม่ออกจากโรงพยาบาลทั้งที่แม่ยังมีอาการปวดหัวเดินไม่ได้ขออยู่ต่อ ซึ่งตามกำหนดเดิมที่แพทย์บอกว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลไปจนถึงวันที่ 11 พ.ย. จึงอยากให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องออกมาแสดงความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และขอให้ปรับปรุงการทำงานให้ดีกว่านี้ขอให้แม่ตนเป็นศพสุดท้ายที่เกิดความสะเพร่าของแพทย์
ด้านนายบัญชา ผลานุวงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลย เปิดเผยชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากโรงพยาบาลเลยรับนางสมคิดเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บมีการทำซีทีสแกนพบว่า เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ทางแพทย์เจ้าของไข้ก็ได้ติดต่อประสานงานสอบถามแนวทางการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีว่าอาการเช่นนี้จะส่งตัวต่อที่อุดรธานีหรือไม่ ซึ่งทางแพทย์ผู้เชี่ยชาญก็บอกว่าให้รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเลยตามคำแนะนำและสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิด กำหนดไว้ 6 วัน ซึ่งก่อนอนุญาตให้คนไข้กลับบ้านแพทย์ก็ได้เข้าไปตรวจดูอาการคนไข้มีการตอบรับที่ดี มีการพยักหน้าและพูดคำว่าขอกลับบ้าน แต่ทางญาติอาจมีการเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยทางแพทย์ก็ได้แนะนำข้อปฏิบัติหลังจากออกจากโรงพยาบาลให้แก่ตัวคนไข้และญาติทราบ หากพบอาการผิดปกติก็ให้มาตรวจซ้ำซึ่งคนไข้ได้บอกแพทย์ว่ากลืนน้ำและอาหารไม่ได้
เมื่อไปถึงบ้านก็ทราบว่า ญาติให้นำนมถั่วเหลืองมาให้คนไข้หรือนางสมคิดดื่มแล้วเกิดอาการสำลัก กลายเป็นเหตุซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกแล้วก็หมดสติไป ซึ่งต้องไปตรวจสอบอีกว่าสมองเสียทำให้สำลักหรือนมถั่วเหลืองทำให้สำลักแล้วสมองเสียภายหลัง อย่างไรก็ตามต้องรอข้อมูลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และให้แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลเลยได้เรียนรู้ด้วยจะได้กลับมาป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้กับผู้ป่วยรายอื่น
สำหรับข้อข้องใจของญาติว่าเหตุใดถึงไม่ส่งคนไข้ไปที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เนื่องจากการประเมินตามหลักการที่กำหนดไว้ได้เต็ม 15 คะแนน ทางแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรฯ ก็ให้อยู่รักษาที่โรงพยาบาลเลยก่อน เพราะต้องยอมรับว่าที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีก็มีคนป่วยที่อาการหนักจำนวนมาก ขณะที่แพทย์ก็มีจำกัดส่วนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสมองที่โรงพยาบาลเลยมีอยู่เพียง 1 คน แต่ขณะนี้กำลังป่วยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขวัญกำลังใจของแพทย์และพยาบาลเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องคำถึงนึงด้วย แต่หาพบว่ามีความผิดหรือบกพร่องจริงก็ต้องลงโทษตามระเบียบกฎหมายต่อไป ส่วนการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเยียวยาจิตใจ และในวันพรุ่งนี้ผู้บริหารจะเดินทางไปให้กำลังใจและพิจารณายื่นเรื่องให้ความช่วยเหลือเงินตามหลักประกันสุขภาพบัตรทองมาตรา 4 1ด้วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลยกล่าว