ถึงแม่ว่าเรื่องจะผ่านมานานข้ามปีแล้วก็ตาม แต่ด้วยชื่อเสียงของวง “ROOM 39” ทำให้แฟนคลับยังคงติดตามเรื่องของการแยกทางของสมาชิกในวงอย่างนักร้องนำ “ทอม อิศรา” ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็เลยถือโอกาสชี้แจงอีกครั้งหลังออกมาโพสต์สาเหตุการแยกวงก่อนหน้านี้ โดยหนุ่ม “หนุ่มทอม” ก็เปิดใจด้วยเสียงสั่นเครือว่าที่เงียบมาตลอดก็เพราะหวั่นใจว่าเรื่องจะบานปลาย
ยอมรับว่าตั้งแต่มีประเด็นขึ้นแล้วตัวเองหลังได้เห็นคอมเมนต์และคำวิจารณ์ต่างๆ ที่ตำหนิตน ที่บอกว่าผิดหวังในตัวของตน ก็แอบรู้สึกแย่ บางครั้งถึงขั้นร้องไห้ โดยเฉพาะขณะที่ต้องขึ้นโชว์บนเวทีก็ยังอดกังวลและไม่สบายใจไม่ได้กับสายตาของคนดูที่มองตัวในตอนนั้น แต่ก็ยังถือว่าโชคดีอยู่ที่ได้ภรรยามาคอยเป็นกำลังใจให้ตลอด
พร้อมกันนี้เจ้าตัวก็ยืนยันกับสื่อมวลชนและแฟนคลับว่าที่ผ่านมามีโอกาสเคลียร์ใจกับ "มน” และ “แว่นใหญ่" ไปแล้วและทุกอย่างก็ลงตัวตั้งแต่แรก ส่วนตัว ณ ตอนนี้ก็หมดความรู้สึกโกรธเคืองต่อกันและตอนนี้เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว อนาคตก็สามารถเจอและร่วมงานกันได้โดยไม่มีปัญหาแน่นอนเพราะทั้งมนและแว่นใหญ่เขาเองก็พร้อมจะเดินหน้าต่อไปแล้ว ก่อนที่จะแย้มว่าโชว์หน้ามีโอกาสเล่นเวทีเดียวกันด้วย จึงได้พูดคุยแบ่งเพลงกันเรียบร้อยว่าใครจะร้องเพลงไหน
ด้านของสภาพจิตใจตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ก็มีบางอารมณ์ที่แว่บกลับไปคิดเรื่องเก่าๆ บ้าง ตัวเองก็พยายามจะมีความสุขกับชีวิตให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ทำเพลงต่อไปและเผยอีกว่าตอนนี้เตรียมปล่อยเพลงใหม่ในช่วงเดือนธันวาคมด้วย
เปลี่ยนลุคไว้เครา ?
“ก็ลองไว้ดูครับ อยากจะลองเปลี่ยนดูบ้าง เพราะยังไม่กล้าโกนทิ้งทั้งหมด แต่เคยไว้เคราตรงนี้มาหลายปีมากแล้ว ร่วม 10 ปีแล้วครับ ก็เลยลองไว้ข้างๆ เพิ่มดู ว่ามันจะเป็นยังไง”
ฟีดแบ็กเป็นอย่างไรบ้าง ?
“มันก็ดูเปลี่ยนลุค ดูโตขึ้นครับ บางคนชอบก็คือชอบเลย คนไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย มันก้ำกึ่ง เพราะพอไว้แล้วบางคนก็บอกว่ามันดูไม่ค่อยใช่ทอม ภรรยาเขาก็โอเคนะ แต่ไม่ชอบให้เข้าใกล้เพราะคัน (หัวเราะ)”
พอเราไว้เครา คนก็นึกว่าเราจะมีข่าวดีมีลูกสาวหรือเปล่า ?
“ไม่ขนาดนั้น ยังไม่มีครับ (หัวเราะ)”
ถามถึงดรามาที่เราเคยโพสต์ในเฟซบุ๊ก ?
“คือจริงๆ แล้วผมว่าผมอธิบายไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ของผมเอง บนทวิตเตอร์ หรือว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจผม ใครที่ติดตามแล้วอ่านตามไทม์ไลน์ต่างๆ จะเข้าใจแล้ว แล้วผมก็เชื่อว่าการที่ถ้าจะให้พูดตรงนี้ มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมเองทำใจได้แล้ว แล้วก็พร้อมที่จะก้าวข้ามผ่านไปแล้ว พี่ๆ ทั้งสองคนก็มีผลออกมาเรื่อยๆ แล้วก็ประสบความสำเร็จเรื่อยๆ อย่างของผมเอง ก็ยังพยายามทำงานของผมเองอยู่ ซึ่งทุกคนกำลังเข้าที่อยู่บนแทร็คของตัวเองที่ดีแล้ว
การที่จะต้องมานั่งพูดถึง ว่าเรื่องดีเทลยิบย่อยเป็นยังไง ผมว่ามันไม่น่าจะเหมาะสม แล้วตัวเอง หรือตัวพี่เขาเองมันหมดความรู้สึกที่จะมาเคืองกัน ผมเชื่อว่าคนเราพอถอยออกมา มันเริ่มเห็นปัญหา เริ่มเข้าใจคนคนนั้นมากขึ้น มากกว่าการที่เราอยู่ใกล้ๆ กัน ทำงานด้วยกันใกล้ๆ ตลอดเวลา มีอะไรที่มันมันเป็นไปตามสิ่งที่เราคาดหวังไว้ในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องต่างๆ บางทีตอนนั้นเราอาจจะแยกแยะกันไม่ได้ แต่พอเป็นแบบนี้มันไม่มีปัญหา เดี๋ยวโชว์ที่ season of love song ผมก็มีเล่น พี่เขาเองก็มีเล่น ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน เพลงก็ไม่มีปัญหา เราคุยกันแล้วว่าโอเค เดี๋ยวใครจะใช้เพลงไหน ลิสต์เพลงเป็นยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรเลย”
เรารู้สึกว่าเราอธิบายช้าไปไหม ?
“ผมคิดว่าผมอยากลองปล่อยให้มันเป็นไปดีกว่า ผมไม่คิดว่าเรื่องของผมจะต้องออกมาพูด เวลาที่ผมเสียใจต้องรีบออกมาระบาย มันเป็นอะไรยังไง ผมเชื่อว่าสถานการณ์มันจะยิ่งไปกันใหญ่ จริงๆ ถ้าไม่ได้มีคนสนใจ ไม่ได้มีคนถามถึง ก็อาจจะเงียบไปเฉยๆ ก็ได้ ถูกไหมครับ แต่การที่เราต้องการให้คนข้างนอกรู้เยอะ ต่างคนก็ต่างมีวิจารณญาณต่างกัน บางคนอาจจะเป็นเพราะว่า กูว่าเป็นแบบนี้ กูว่าเป็นแบบนี้แน่เลย เพราะมันเป็นเรื่องสนุกของคนอื่นนะ สนุกคิด คิดไปเรื่อยเลย แต่จริงๆ แล้วเอ๊ะ มันเป็นยังไงวะ เราจะออกมาพูดได้มากน้อยแค่ไหน หรืออะไรอย่างไร แต่ผมก็คิดว่า ณ วันนั้นผมเอง พูดโดยไม่ได้ใช่อารมณ์แล้ว มันผ่านมานานแล้ว ถ้าผมพูดเลยตอนนั้นมันอาจจะเป็นอารมณ์ การที่เรามาพูดทีหลังคือเราใจเย็นแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ที่บอกคือจะได้เคลียร์จบ เรารู้สึกแค่นี้เอง”
ตอนนั้นตัวเราเองก็ถูกโจมตีเยอะมาก ช่วงก่อนที่เราจะออกมาอธิบาย ?
“ผมเข้าใจครับ แต่ถ้าจะให้พูดผมก็คิดว่าผมเองก็แย่นะ ผมก็รู้สึกแย่ที่บางคนอาจจะไม่ได้รู้เรื่องราวหรือบางคนอาจจะได้ยินมาว่าอย่างไร ผมก็ยอมรับครับว่าผมรู้สึกแย่ แต่ว่าผมได้ภรรยาที่เข้าใจ รวมถึงผมยังมีเพื่อนที่เข้าใจผม คือผมเป็นคนแคร์คนทั้งโลกนะ หลายคนอาจจะบอกว่าไม่ต้องไปแคร์หรอกคนทั้งโลก แต่ผมทำไม่ได้ แค่ผมเห็นคอมเมนต์อันหนึ่งที่มันไม่ดีและมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็รู้สึกแย่แล้วครับ แต่ว่ามันก็โชคดีตรงที่คนรอบข้างผมเขายังให้กำลังใจ”
เราทนได้อย่างไรกับสิ่งที่คนวิจารณ์เราในตอนนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ความจริง ?
“ผมเสียใจมากครับ ผมก็ยอมรับนะว่าผมเป็นภาวะ... (ยิ้ม) แต่ว่าผมผ่านมาได้เพราะคนข้างๆ เข้าใจ คนข้างๆ เข้าใจผมจริงๆ เขารับฟังผมในเรื่องเดิมๆ ผมเสียใจเรื่องเดิมๆ มันวนเวียนอยู่อย่างนั้น และผมเองก็ไม่สบายใจทุกครั้งที่ขึ้นไปบนเวที คือเหมือนเราไม่รู้เลยว่าคนที่เขาดูเราอยู่เขาคิดอย่างไร มันต้องใช้เวลาเยอะมากครับ”
ตอนนั้นเราเสียใจแค่ไหน เพราะเราเคยเป็นคนที่มีคนรักมาก แต่พอเกิดเรื่องนี้ก็กลายเป็นว่าเราถูกต่อว่าหนักเหมือนกัน ?
“เอ่อ...มันคงไม่เสียใจมากไปกว่าการที่ผมเสียคุณพ่อครับ แต่ถามว่ามันเสียใจไหม มันเป็นความรู้สึกที่เอ่อ...ผมไม่เรียกว่าเสียใจ คือผมไม่รู้จะอธิบายคำนั้นว่าอย่างไรดี มันเหมือนกับเราไม่มั่นใจอะไรไปเลยมากกว่า”
มีหลายคนที่เขาบอกว่าผิดหวังในตัวเรา ?
“ผมเห็นทุกอันเลยครับ”
แล้วเราจะจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร ?
“ก็...ร้องไห้มั้ง ผมคิดว่าร้องไห้ก็คงจะดีขึ้นครับ”
ภรรยาอยู่เคียงข้าง ?
“เขาฟังผมร้องไห้ทุกวัน ผมถึงได้ขอบคุณเขามากๆ เขายอมอยู่กับผมในวันที่ผมร้องไห้ทุกวันได้ ร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ ได้”
ใช้คำว่าปลดล็อกได้ไหมกับสิ่งที่เราได้อธิบายให้ทุกคนฟัง ?
“ก็ปลดล็อกแล้วนะครับ นั่นแหละผมคิดว่าเป็นเพราะผมไม่ได้พูดมากกว่า สุดท้ายแล้วใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจยังไงก็แล้วแต่ แต่ผมได้พูดแล้ว ที่ผ่านมาผมพยายามจะให้ทุกคนเข้าใจด้วยตัวเอง แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ”
ตอนนี้เราก็กลับมาเป็นทอมคนเดิมแล้ว ?
“ผมคิดว่าผมดีขึ้นแล้วนะครับ แต่ก็อาจจะมีบ้างว่าแว่บๆ”
สภาพจิตใจของเราล่ะ ?
“ผมก็ตั้งเป้ากับตัวเองไว้ครับว่าอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ผมก็จะพยายามมีความสุขกับมัน หลังจากนี้อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมมีความสุขผมก็จะแฮปปี้ไปกับมัน ผมไม่ได้ตั้งเป้าเลยว่าผมจะทำอะไรให้ตัวเองมีความสุข แต่ผมเลือกที่จะมีความสุขกับอะไรก็ได้มากกว่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นผมก็จะวนกลับไปเหมือนเดิมอีก”
การทำเพลงของเราหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ?
“ตอนนี้ก็จะมีพี่ๆ เข้ามาคอยช่วยครับ ไม่ว่าจะเป็น พี่ตู่ พี่ว่าน พี่ๆ ลิปตา ตอนนี้เราก็อยู่กันเหมือนเป็นครอบครัว เป็นสังคมเล็กๆ ที่พูดคุยกันเรื่องงานคุยเรื่องเพลง และก็อาจจะมีโชว์ที่ไปแจมกันบ้าง อีกหน่อยก็จะมี พี่โอ๊ต มาเล่นด้วยอะไรประมาณนี้ครับ”
จะมีเพลงใหม่ให้แฟนๆได้ฟังเร็วๆ นี้ไหม ?
“มีครับ ประมาณเดือนธันวาคมนี้ผมก็ตั้งใจว่าจะปล่อยเพลงออกมา ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ทำงานกับ พี่แทน ลิปตา และก็ได้ พี่ไก่ สุธี มาคุมเรื่องตัดให้ ทำเองเลยครับสนุกดี มันก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ได้ทำงาน และก็ลืมอะไรต่างๆ”