ตร.ภูธรภาค 4 แถลงจับกุมแก๊งฉ้อโกง "หลอกรักออนไลน์" ปลอมโปรไฟล์หนุ่มหน้าตาดีหลอกแชทกับผู้เสียหายจนหลงคารม ก่อนขอให้โอนเงินให้ มีผู้เสียหายหลายพื้นที่รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 63 พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และชุดปฏิบัติการกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมแก๊งฉ้อโกง "หลอกรักออนไลน์" ได้แก่ น.ส.กัลย์สุดา อายุ 19 ปี ชาว อ.วังทองจ.พิษณุโลก และ น.ส.วิภาวดี อายุ 20 ปี ชาว อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมของกลางสมุดบัญชีธนาคารจำนวน 1 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบเติมเงิน และเอกสารสำหรับเปิดบัญชีธนาคาร
โดยพบว่ามีเงินจากผู้เสียหายที่หลงเชื่อโอนเข้าบัญชีคนร้าย รวมแล้วมากกว่า 10 ล้านบาท และมีการแจ้งความร้องทุกข์ในหลายท้องที่ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 ประกอบด้วย สภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี มูลความเสียหาย 439,000 บาท สภ.เมืองขอนแก่น มูลค่าความเสียหาย 126,000 บาท สภ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด มูลค่าความเสียหาย 50,000 บาท และ สภ.ต่าง ๆ ในพื้นที่อยู่ระหว่างการรวบรวมตรวจสอบรวมถึงยังมี สน.ที่มีการแจ้งความร้องทุกข์คดีลักษณะดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมแล้วมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
พล.ต.ท.ยรรยง เปิดเผยว่า ห้วงเดือน ก.ย.-พ.ย. 63 มีผู้เสียหายถูกหลอกผ่านทางการแชทในสื่อออนไลน์หลายรูปแบบกับบุคคลที่อ้างตนเป็นชาวต่างชาติ โดยมีการใช้รูปโปรไฟล์หน้าตาดี ทักมาจีบมาพูดคุยในทางชู้สาว จนกระทั่งเกิดความสนิทสนมกันก่อนจะมีการนัดหมายเพื่อพบเจอกันที่ประเทศไทย แต่พอถึงวันนัดหมายคนร้ายที่อ้างตัวเป็นชาวต่างชาติจะแชทมาแจ้งว่าถูกกักตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หรือสิ่งของที่นำมานั้นจะต้องเสียภาษีที่ศุลกากร ก่อนออกอุบายขอให้เหยื่อช่วยชำระเงินให้ก่อนแล้วจะโอนคืนให้ภายหลัง จากนั้นจะมีคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ตม. หรือด่านศุลกากรโทรหาผู้เสียหายผ่านแอพพลิเคชั่น แจ้งว่าหากไม่โอนเงินจ่ายค่าปรับให้ ชาวต่างชาติคนดังกล่าวจะถูกจับกุมดำเนินคดี หรือหากไม่จ่ายภาษีจะถูกยึดสิ่งของ จนมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้กับบุคคลดังกล่าวจนเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก
จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลที่ "หลอกแชทรักออนไลน์" นั้น แท้จริงเป็นกลุ่มชายผิวดำจากต่างประเทศ มีการปลอมโปรไฟล์เป็นคนหน้าตาดีกระทั่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงิน โดยบัญชีที่ใช้กระทำความผิดจะถูกจัดหาและรวบรวมโดยคนไทย คือ น.ส.วิภาวดี ผู้ต้องหาอายุ 20 ปี เป็นคนดำเนินการทางธุรกรรมโอนเงินต่อไปให้กับกลุ่มคนร้ายที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยได้ส่วนแบ่งจากการดำเนินการ ต่อมาตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และสามารถจับกุมตัว น.ส.กัลย์สุดา ผู้เป็นเจ้าของบัญชี และ น.ส.วิภาวดี ผู้รวบรวมดำเนินการโอนเงินไปต่างประเทศ ได้ขณะหลบหนีในพื้นที่ จ.พิษณุโลก
ผบช.ภ.4 ยังได้เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโอนเงินให้กับบุคคลที่ตนไม่รู้จัก หรือรู้จักผ่านแชทออนไลน์ หากพบการกระทำความผิดสามารถ แจ้งมายังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 4 หรือโทร 043242486