ในช่วงที่ผ่านมามีข่าวการผลิตวัคซีนโควิดได้สำเร็จเป็นครั้งล่าสุด ซึ่งหลายคนพอเห็นแล้วก็อาจจะคิดว่าไม่ต่างจากที่ผ่านๆมา ที่หลายประเทศประกาศว่าผลิตได้สำเร็จแต่ดูไม่เห็นผลตามที่อ้าง แต่วัคซีนตัวล่าสุดนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะมันคือ "ความหวัง" สำหรับคนทั้งโลกที่แฝงไปด้วยนัยยะสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นจุดจบของไวรัสโควิด-19 และทำให้โลกกลับสู่สภาวะปกติ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมวัคซีนตัวนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
โดยปกติการผลิตวัคซีนสำหรับมนุษย์จะต้องผ่านขั้นตอนมาตรฐาน 4 ขั้นตอนอย่างคร่าวๆตามลำดับคือ
- หาปริมาณโดสที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์และผลข้างเคียงเบื้องต้น โดยการทดลองฉีดในจำนวนคนหลักสิบ รู้ผลภายในไม่กี่วัน
- ทดลองว่าวัคซีนปริมาณโดสที่เหมาะสม จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้จริงหรือไม่และหาผลข้างเคียงเพิ่มเติม โดยขั้นนี้จะทดลองฉีดในจำนวนคนหลักร้อย รู้ผลภายในไม่กี่วันเช่นกัน
- ทดลองว่าวัคซีนจะป้องกันโรคในสถานการณ์จริงได้หรือไม่ และป้องกันโรคได้นานเท่าไหร่ โดยขั้นนี้คือจะทดลองฉีดกับคนหลักหมื่น โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ ฉีดกับไม่ฉีดวัคซีน เพื่อให้แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนได้ผลจริง และจะติดตามผลเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี เนื่องจากปัญหาพื้นฐานของวัคซีนทุกตัวคือภูมิคุ้มกันไม่ได้อยู่ตลอดไปเสมอ และต้องระบุให้ได้ว่าภูมิคุ้มกันนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหน
- ทดลองแบบเก็บรายละเอียด ขั้นนี้ถือว่าวัคซีนพัฒนาสำเร็จแล้ว แต่ศึกษาเก็บรายละเอียดว่าจะมีผลข้างเคียงแปลกๆ หรือกรณีหายากแบบหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้านหรือไม่
สาเหตุที่ต้องผ่านขั้นตอนมากมายและใช้เวลานานเพราะในอดีต เคยมีวัคซีนทั้งที่ใช้ได้จริงแต่เกิดผลข้างเคียงรุนแรงกับประชากรบางกลุ่ม หรือวัคซีนบางตัวก็สร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ จึงแทบจะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการผลิตวัคซีนจึงต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 4 โดยขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ ขั้นที่ 3 ที่เรียกได้ว่า "ยิ่งทดลองกับคนเยอะๆ ยิ่งใช้เวลาศึกษาผลนานๆ ยิ่งดี” เพราะถ้าไม่ทดลองกับกลุ่มประชากรจำนวนมากที่หลากหลาย ก็ไม่มีทางจะรู้ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และหากไม่ใช้ระยะเวลานานก็จะไม่รู้ว่าภูมิคุ้มกันที่วัคซีนกระตุ้นขึ้นมาจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ซึ่งนี่แหละคือจุดแตกต่างของวัคซีนตัวล่าสุด เพราะก่อนหน้านี้ที่จีนกับรัสเซียประกาศผลิตวัคซีนสำเร็จมาใช้ แต่ทั้งจีนและรัสเซียทำการทดสอบแค่ 2 ขั้น ดังนั้นสำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะไม่นับวัคซีนของจีนและรัสเซียว่าเป็นผลสำเร็จ เพราะถือว่าทั้ง “ขี้โกง” และ “ไร้ความรับผิดชอบ” ที่ลัดขั้นตอนมาตรฐานความปลอดภัย เพียงเพื่อให้อ้างได้ว่าสามารถผลิตวัคซีนสำเร็จก่อนประเทศอื่นๆ
แต่สำหรับวัคซีนตัวล่าสุดซึ่งเกิดจากความร่วมมือของบริษัทยาอเมริกัน Pfizer และบริษัทยาเยอรมัน BioNTech ทำการทดลองปกติมาถึงขั้นที่ 3 “เบื้องต้น” สำเร็จแล้ว โดยทดลองกับคน 40,000 กว่าคน ให้รับวัคซีนคนละ 2 โดส ทั้งที่สหรัฐอเมริกา เยอรมนี บราซิล อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และตุรกี ผลคือเกิดภูมิคุ้มกันได้จริง 90% ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ถือว่า “ใช้ได้จริง” แล้ว แต่การทดลองยังต้องดำเนินการในขั้นที่ 3 ต่อไป พร้อมเก็บรายละเอียดในขั้นที่ 4 ซึ่งในภาวะวิกฤติโควิด-19 นี่คือกรณีพิเศษและผลสำเร็จ แม้จะแค่ “เบื้องต้น” แต่ก็ถือว่าผ่านการทดสอบมามากกว่าวัคซีนทุกตัวที่มีอยู่ในโลกตอนนี้ และวัคซีนก็ดีพอที่จะเอามาใช้จริง
แม้จากการคาดการณ์ว่าถึงสิ้นปีหน้าคนทั่วไปก็ยังคงไม่ได้ฉีด เพราะยอดการผลิตที่ได้นั้นจำกัดและคงให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะในโซนที่มีการระบาดรุนแรงก่อน แต่ความหวังสำหรับคนธรรมดาคือ “นัยยะ” ของวัคซีนตัวนี้เพราะการที่ Pfizer และ BioNTech ผลิตวัคซีนสำเร็จ จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่วัคซีนตัวอื่นๆนับสิบตัวที่ทดสอบขั้นที่ 3 อยู่ น่าจะต้องมีตัวที่สำเร็จด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทอื่นๆก็คงจะทยอยประกาศผลสำเร็จภายในเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า หรือไม่น่าเกินต้นปีหน้า ตามที่มีคนประเมินเอาไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆของการระบาดว่าต้องใช้เวลาหนึ่งปีวัคซีนถึงจะสำเร็จ ดังนั้นคาดการณ์ได้ว่าโดสของวัคซีนที่จะมีในปีหน้าจะต้องมากกว่าที่ประเมินไว้ และนั่นหมายถึงการควบคุมสถานการณ์ได้ 100% ที่จะทำให้โลกจะกลับมาสู่ “สภาวะปกติ”