กรณีพบศพ น.ส.มาลี สามา อายุ 50 ปี ผู้เสียชีวิต สาวใหญ่ร้านคาราโอเกะถูกหมกไว้ริมถนน โดยใช้หญ้าคลุมเอาไว้ สภาพเน่าเปื่อย เหตุเกิดในพื้นที่หมู่ 4 ต.คู อ.จะนะ จ.สงขลา วันที่ 12 พ.ย. 63 ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันที่ 27 พ.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังร้านดอกหญ้า ซึ่งเป็นร้านคาราโอเกะ อยู่ในพี้นที่หมู่ 4 ต.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา อยู่ห่างจากจุดที่พบศพประมาณ 10 กิโลเมตร
ทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับ น.ส.กิม พิมศร อายุ 52 ปี เพื่อนร่วมงาน เล่าให้กับทีมข่าวว่า ตนเพิ่งมางานที่ร้านคาราโอเกะ ได้ประมาณ 3 เดือน ก่อนหน้านี้ก็พบเจอน.ส.มาลี สามา อายุ 50 ปี ผู้เสียชีวิต มาหาเจ้าของร้านอยู่บ้าง แต่ล่าสุดก่อนเกิดเหตุประมาณต้นเดือน พ.ย.63 น.ส.มาลี เก็บข้าวของเดินทางมายังร้านคาราโอเกะ เพื่อขอที่พักอาศัยกับเจ้าของร้านเนื่องจากมีความสนิทสนมกัน และกลับมาช่วยดูแขกในร้าน โดยมีการเลิกกับนายชลิต อายุ 50 ปี ซึ่งตนก็ได้ยินมาว่าน.ส.มาลี โดนทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง เลยขอเลิก
ในวันเกิดเหตุ ตรงกับวันที่ 12 พ.ย.63 นายชลิต เดินทางมายังร้านคาราโอเกะ สั่งเบียร์ 4 ขวด ทั้งร้านมีลูกค้าโต๊ะเดียว คือโต๊ะของนายชลิต โดยให้น.ส.มาลี นั่งเป็นเพื่อน ซึ่งตนก็ได้ยินน.ส.มาลี พูดในลักษณะที่ว่า มีผู้ชายคนใหม่แล้ว เป็นผู้ชายที่เคยรู้จักสมัยยังสาว ๆ ซึ่งเขาให้ทริป 500 บาท แถมยังจับมือถือแขนกันเรียบร้อย
จากนั้นนายชลิต ก็นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ส่วนน.ส.มาลี ก็นั่งร้องเพลงคาราโอเกะไม่สนใจ ต่อมานายชลิต ทราบว่าน.ส.มาลี ติดเงินเจ้าของร้านอยู่ 1,500 บาท จากนั้นนายชลิต ก็ควักเงินสดให้เจ้าของร้าน 1,000 บาท โดยบอกว่ามีอยู่ที่บ้านอีก 1,000 ให้กลับไปเอากับตนที่บ้าน น.ส.มาลี จึงเดินทางกลับไปเอาเงินที่บ้านของนายชลิต
หลังจากนั้นตนก็ไม่ทราบรายละเอียด เนื่องจากน.ส.มาลี ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ต้องคุยผ่านเจ้าของร้านอย่างเดียว ทีแรกตนก็เข้าใจว่าน.ส.มาลี เปลี่ยนใจกลับไปคืนดีกันแล้ว แต่มาทราบในวันที่ 15 พ.ย.63 ว่าน.ส.มาลีหายตัวไป ตนถึงกับขนลุก และคาดไว้แล้วว่าน.ส.มาลี ต้องเสียชีวิตแล้วแน่นอน
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ย้อนรอยไปยังร้านคาราโอเกะ โดยเส้นทางจากร้านคาราโอเกะเดินทางมายังบ้านนายชลิต ระยะ 10 กิโลเมตร โดยทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสวนยางพารา ไม่มีบ้านผู้คน ไม่มีไฟข้างทาง เส้นทางเปลี่ยว ซึ่งจุดที่พบศพสังเหตว่าคูน้ำมีความลึกประมาณ 60 เซนติเมตร และยังคงทิ้งร่องรอยของ police line ไว้อยู่
ทีมข่าวพูดคุยกับนางวนิดา ทองเพชรจันทร์ อายุ 49 ปี เพื่อนบ้าน ซึ่งมีระยะห่างกัน 80 เมตร เล่าว่า วันที่ 12 พ.ย. 63 เวลาประมาณ 00.30-03.00 น. ตนและสามีไม่ได้อยู่บ้าน เนื่องจากออกไปกรีดยาง ตั้งแต่เวลา 23.00 น. และกลับเข้ามาถึงบ้านก็เวลา 08.00 น. แล้ว ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะออกจากบ้านไปกรีดยางเวลาประมาณนี้กันหมด
ก่อนหน้านี้ส่วนตัวไม่ค่อยพบเจอนายชลิต แต่เคยพบเห็นน.ส.มาลีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย เนื่องจากเวลากลางวันส่วนใหญ่นอนพักผ่อน เพราะต้องตื่นไปกรีดยางพาราในเวลากลางคืน ส่วนตัวมองว่าถ้ามีการร้องขอให้ช่วยเหลือ คนรอบ ๆ ข้างต้องได้ยิน เพราะกลางคืนบรรยากาศตรงนี้เงียบมาก
จากนั้นทีมข่าวพูดคุยกับ นางกิตติยา บุญยะรักษ์ อายุ 48 ปี เจ้าของร้านคาราโอเกะ เล่าว่า ตนเปิดร้านคาราโอเกะมาได่เกือบ 8 ปี น.ส.มาลี สามา อายุ 50 ปี ผู้เสียชีวิต มาทำงานที่ร้านของตนได้ 5 ปี ซึ่งก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน จนกระทั่งช่วงปลายปี 62 น.ส.มาลีได้คบหากับนายชลิต แก้วนุ่น อายุ 50 ปี ก็ได้ออกจากร้านไปขายผักทำสวน
ตลอดระยะเวลาที่คบหากันมาก็มีรัก ๆ เลิก ๆ แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน น.ส.มาลีถูกนายชลิตทำร้ายร่างกาย 5 ครั้ง โดยมีรอยช้ำเขียวที่แขน-ขาบ้าง หน้าบวม ศีรษะปูด ซึ่งในแต่ละครั้งที่น.ส.มาลีถูกกระทำเช่นนี้ ตนก็ได้มีการเตือนทุกครั้งว่าให้เลิกคบ แต่พฤติกรรมของน.ส.มาลี ชอบเล่นการพนัน เวลาเล่นแล้วเสียทุนก็มักจะนำโทรศัพท์ไปจำนำเพื่อแลกเป็นเงินมาเล่นการพนันตลอด จึงไม่ค่อยมีโทรศัพท์ใช้
ในแต่ละครั้งที่นายชลิต มาขอคืนดี ก็มักจะเอาเรื่องเงินมาล่อ ด้วยอุบายว่า เล่นการพนันแล้วได้เงินเยอะ ขายที่ได้เป็นแสนจะแบ่งให้ใช้ต่าง ๆ นา ๆ ที่เหมือนกับว่าจะให้น.ส.มาลีไปอยู่ด้วย ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง จากนั้นน.ส.มาลี ก็อยู่กับตนได้ประมาณ 10 วัน ยืมเงินของตนเป็นจำนวนเงิน 1,500 บาท วันเกิดเหตุ 11 พ.ย.63 เวลาประมาณ 23.00 น. นายชลิต เดินทางมาที่ร้านของตน พร้อมสั่งเบียร์ 4 ขวด จากนั้นก็บอกกับคนอื่นในร้านว่าจะนั่งกับน.ส.มาลี แค่ 2 คน ตนจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร
จนกระทั่ง 00.30 น. น.ส.มาลีมาบอกกับตนว่า สามีจะให้เงิน 2,000 บาท คืนนี้จะไปนอนบ้านนายชลิต ตนจึงบอกกลับไปว่า ถ้าจะกลับไปก็ให้คืนเงินที่ติดไว้ก่อน 1,500 บาท ซึ่งนายชลิตก็ควักเงินให้ตน 1,000 บาท แล้วบอกว่าจะเอามาคืนให้อีก 500 บาท จากนั้นนายชลิตกับน.ส.มาลี ก็ออกจากร้านไปด้วยกัน เวลา 03.00 น. นายชลิตโทรมาหาตน เพื่อถามว่าน.ส.มาลี ถึงร้านหรือยัง นายชลิตอ้างว่าน.ส.มาลีจ้างรถมอเตอร์ไซค์ให้ไปขนของที่ร้านคาราโอเกะ ตนก็รู้สึกงงว่าดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมให้กลับมา ถ้าจะมาเก็บของทำไมไม่มาตอนเช้า ซึ่งน.ส.มาลีก็ไม่มีโทรศัพท์ ตนจึงไม่รู้จะติดต่ออย่างไร แต่น้ำเสียงของนายชลิต สั่น ๆ เหมือนคนร้องไห้
จากนั้นวันที่ 16 พ.ย.63 สามีของตนโทรไปหานายชลิต เพื่อเค้นถามความจริงว่า น.ส.มาลี อยู่ที่ไหน พร้อมขู่ว่าถ้าไม่บอกจะแจ้งตำรวจ จากนั้นนายชลิต ก็ตัดสาย แล้วปิดเครื่องติดต่อไม่ได้อีกเลย วันที่ 17 พ.ย.63 สามีของตนจึงไปแจ้งความคนหายที่ สภ.จะนะ กระทั่งวันที่ 26 พ.ย.63 มีชาวสวนยางที่ขับรถผ่านแล้วได้กลิ่นเหม็น จากนั้นเหลือบไปเห็นกองหญ้าปกปิดช่วงบนของร่างน.ส.มาลี ไว้ แต่เห็นส่วนขาโผล่ออกมา จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัย
พ.ต.อ.พชรพล ณ นคร ผกก.สภ.จะนะ เปิดเผยว่า ผลการชันสูตรศพน.ส.มาลี จากแพทย์นิติเวช รพ.สงขลานครินทร์ ออกมาแล้ว พบว่าถูกฆาตรกรรม โดยพบบาดแผลที่ศีรษะถูกแทงด้วยของมีคม 1 แผล ซึ่งน่าจะเป็นบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต
ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับนายชลิตแล้ว โดยอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และจากการสอบถามญาติและที่ร้านคาราโอเกะทราบว่านายชลิต กับน.ส.มาลี เพิ่งคบหาอยู่กินกันแบบผัวเมียได้ราว 1 ปี แต่ยังไม่ได้เปิดเผยเป็นตัวเป็นตน ในขณะที่ประวัติของนายชลิต พบว่าเมื่อปี 2549 เคยถูกจับกุมในคดีพนันมาแล้วครั้งหนึ่ง
ทีมข่าวเดินทางไปพูดคุยกับ น.ส.วลี แก้วนุ่น อายุ 57 ปี พี่สาวผู้ต้องสงสัย เล่าว่า ครอบครัวตน มีพี่น้องกัน 4 คน ตนเป็นพี่สาวตนโต ส่วนนายชลิต แก้วนุ่น อายุ 50 ปี ผู้ต้องสงสัย เป็นน้องคนที่ 3 ตนถูกเลี้ยงมากับป้า ไม่ได้โตมากับนายชลิต เลยไม่ได้สนิทกัน ตนก็ทำงานขายขนมไทย กลับมาถึงบ้านก็เย็นเข้านอนแล้ว
ส่วนนายชลิต ก็ไม่ค่อยได้มาหาตน บ้านของนายชลิตอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งมีระยะทางห่างประมาณ 200 เมตร เคยเห็นนางน.ส.มาลี แต่ก็ไม่ได้คุยกัน แล้วก็ไม่เห็นหน้า น.ส.มาลี นานมาก ๆ แล้ว ก็เข้าใจว่าทั้ง 2 คนเลิกรากันไปแล้ว ส่วนการทะเลาะกันตบตีกัน ตนก็ไม่เคยเห็นและก็ไม่ได้สนใจอะไร
เมื่อตนทราบข่าว ก็รู้สึกตกใจ ซึ่งก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าเป็นตัวน้องชาย แต่ถ้าทำผิดจริงก็ให้มารับผิด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามกฎหมายต่อไป ส่วนตนก็พร้อมจะช่วยเหลือ แต่ตนก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นายชลิตไปหลบซ่อนที่ไหน
นายศรายุทธ์ สามา อายุ 29 ปี ลูกชายผู้เสียชีวิต เล่าให้ฟังว่า ตนสร้างครอบครัวและอาศัยอยู่ จ.กระบี่ ถึงแม้ว่าในหลาย ๆ ครั้งที่แม่นำโทรศัพท์ไปจำนำ ก็จะจำเบอร์โทรตนได้ การพูดคุยส่วนใหญ่จะเป็นการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่แม่ไม่เคยเล่าเรื่องความทุกข์ให้ฟัง โทรมาก็มีแต่รอยยิ้มและความเฮฮา
ส่วนตัวมีความสงสัยและไม่เชื่อว่าการตายของแม่จะเป็นอุบัติเหตุ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุจริง คงไม่ตกลงไปในคูน้ำข้างทางแบบนั้น ส่วนตัวไม่อยากรีบฟันธงว่านายชลิต เป็นคนทำ แต่ด้วยพฤติการและร่องรอยบาดแผลมันชี้ชัดว่าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุแน่นอน ซึ่งสภาพจิตใจในตอนนี้ ตนก็รู้สึกจุก การสูญเสียแม่ไปก็เหมือนขาดส่วนหนึ่งของชีวิตไป หลังจากนี้ตนก็ยังคงรู้สึกโกรธ และถึงแม้ว่านายชลิต จะยังคงเป็นผู้ต้องสงสัย จะมาขอโทษ ขอขมาตนก็อาจจะไม่ให้อภัย
สุดท้ายนี้อยากบอกว่ารักแม่ ตอนเขายังไม่เสียตนก็บอกรักเสมอ อยากให้แม่ไปสบาย ส่วนตนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ต้องสู้ต่อไป ส่วนเรื่องคดีความให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เขาไปรับกรรมในสิ่งที่เขาได้ทำ