จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 63 นายนล สิงหลกะ หรือ อ๋อ อินคา นักร้องและมือกลองวงอินคา โพสต์ภาพและข้อความเตือนภัย แฉเล่ห์กลมิจฉาชีพหลังเกือบถูกเล่นงานถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งโชคดีไหวตัวทัน โดยระบุว่า "ระวัง เห็นถุงวางอยู่ ข้างรถอย่าเข้าไปหยิบเด็ดขาด รอดมาได้ครั้งที่ 3 แล้ว จึงถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน ลานจอดรถโลตัสรังสิต ที่เดิมเวลาเดิม รถสีดำเหมือนเดิม" ซึ่งคล้ายกับถุงที่บรรจุสิ่งของผิดกฎหมาย หากจับติดลายนิ้วมือก็อาจจะถูกดำเนินคดีได้หรือไม่นั้น
วันที่ 7 ธ.ค. 63 นายนล สิงหลกะ หรือ อ๋อ อินคา นักร้องและมือกลองวงอินคา เปิดเผยว่า ที่ตนโพสต์เจตนาแค่เป็นการเตือนประชาชนในสิ่งที่เรามองว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ ทั้งนี้ที่มาจากที่ตนได้รับข้อมูลในช่องทางโซเชียล มีผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาโพสต์เหตุการณ์ตามที่ตนได้โพสต์ไป
ทั้งนี้ แม้ว่าส่วนตัวจะไม่เคยเจอเหตุการณ์เอง แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกัน จึงชวนให้คิดไปได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง ทั้งนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ต้องการโจมตีใคร หรือหน่วยงานใด เพราะหลังจากที่โพสต์ไปก็มีทางผู้ใหญ่หรือคนรู้จักที่นับถือกันได้โทรมาพูดคุย และเตือนให้ระวัง เพราะในโพสต์มีการกล่าวถึงสถานที่ของเอกชนและหน่วยงานราชการ ตนจึงได้กลับไปแก้ไขโพสต์ว่าเหตุการณ์ที่นำมาแชร์นั้นเป็นการนำมาจากพี่น้องที่รู้จักเขาแชร์กัน ไม่ได้เจอกับตัวเอง
นอกจากนี้ หากเป็นเรื่องจริง ส่วนตัวก็มองว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงกับภัยแบบนี้ เพราะหากเกิดขึ้นกับคนแก่ เด็กเล็กที่ไม่รู้อะไร แล้วเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ เรียกว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเป็นการกระทำซึ่งหน้า ก็น่าเป็นห่วงอย่ามาก
ทีมข่าวอมรินทร์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณห้างสรรพสินค้า บริเวณลานจอดรถมีลักษณะช่องจอดรถยนต์ที่ห่างชิดกันเพียงประมาณ 2 เมตร มีไฟทางสองสว่างสลัว บางจุดก็ไม่เปิด มีกล้องวงจรปิดอยู่บริเวณภายในลานจอด แต่ยังคงไม่ทั่วถึง
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นมองออกเป็น 2 มุม หากบุคคลที่ก่อเหตุเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ แน่นอนชี้ชัดว่าคือมิจฉาชีพ ซึ่งหากมีการนำยาเสพติดมาวางไว้ ถือว่ามีความผิดในการครอบครองยาเสพติด และถ้าหากว่ามีจำนวนที่มากพอ จะถือเป็นความผิดในฐานครอบครองเพื่อจำหน่าย และถ้าหากมีพฤติการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจับปรับ ก็จะความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
โดยบุคคลธรรมดาเหล่านี้ก็มีความเป็นไปได้ หากมีการคลุกคลีกับตำรวจ และมีพฤติกรรมเลียนแบบวิธีการเข้าแสดงตัวจับปรับแบบตำรวจ หรืออาจจะมีตำรวจที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังในขบวนการนี้ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด
อีกมุมหนึ่ง ถ้าหากว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ก็จะมีความผิดทางวินัย ซึ่งเป็นคดีอาญา มาตรา 157 คือการที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ส่วนตัวมองว่าเป็นไปได้หลายปัจจัย กล่าวคืออาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกนอกลู่นอกทางมาทำเช่นนี้ หรืออาจจะมีตำรวจอยู่เบื้องหลังในการสั่งให้ลงมือทำเช่นนี้ก็เป็นไปได้ทั้งหมด
กรณีดังกล่าว ตนเชื่อว่าพลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่นอน ขอมั่นใจได้ว่าถ้าหากเป็นเจ้าหน้าที่จริง จะมีความผิดและมีโทษเป็นเท่าตัว มีโทษสูงสุดให้ออกจากราชการและถูกดำเนินคดีจับปรับตามข้อบังคับกฎหมาย