ตำรวจแฉร้านค้าฉ้อโกง "คนละครึ่ง" แลกรับเงินจากเจ้ามือโดยไม่มีการซื้อของ

18 ธ.ค. 63

ตำรวจแถลงข่าว ร้านค้าร่วมกันฉ้อโกงโครงการ "คนละครึ่ง" จากการตรวจสอบพบอีก 700 ร้านเข้าข่ายกระทำความผิด ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ., นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมายธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบและดำเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง

โครงการคนละครึ่ง เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก ผ่านผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้ประชาชน ใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และรัฐบาลจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ในเฟสแรก (3,500 บาท ในเฟส 2) ตลอดระยะเวลาโครงการ

01

ต่อมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย ได้สอบเบื้องต้นพบความผิดปกติในการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ มีรูปแบบการกระทำความผิดอยู่ 2 แบบ คือ ร้านแลกหรือรับเงินเป็นผู้ดำเนินการ และแบบมีเจ้ามือเป็นผู้ดำเนินการจำนวนหลายราย จึงได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าดังกล่าว และได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิดเงื่อนไข ให้แก่ตำรวจดำเนินการ

02

ผบ.ตร. จึงได้มอบหมาย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ควบคุมกำกับดูแลการตรวจสอบและดำเนินคดี โดยมี พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ช่วย และมอบหมายให้ บช.ก. เร่งรัดดำเนินการ โดย มี พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ร่วมดำเนินการกับ บก.ปอศ. มีผลการดำเนินคดี 1 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เป็นแบบเจ้ามือ ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” โฆษณาชักชวนให้ประชาชนที่ร่วมโครงการฯ มาแลกรับเงินจากเจ้ามือโดยไม่ต้องมีการซื้อ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เต็มแล้ว! "คนละครึ่ง" เฟส 2 ครบ 5 ล้านสิทธิในเวลา 2 ชั่วโมง
- "บิ๊กตู่" รับเป็นเจ้าของไอเดีย "คนละครึ่ง" แย้มอาจมีเฟส 3 ขึ้นอยู่กับเงินรัฐบาล
- "กรุงไทย" ปิดปรับปรุงแอปฯ "เป๋าตัง" เพิ่มประสิทธิภาพรองรับโครงการ "คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน"
- ดีแทค แจง กสทช.เหตุระบบ OTP ล่ม ลั่นเยียวยาคนเสียสิทธิ์ “คนละครึ่ง”

จากการตรวจสอบพบธุรกรรมต้องสงสัยมีการสแกนใช้สิทธิ์กับร้านขายของชำแห่งหนึ่งในเขต จ.สมุทรสาคร โดยประชาชนหลายรายมีภูมิลำเนาและที่อยู่ปัจจุบันห่างไกลจากร้านค้าดังกล่าวมาก บางรายอยู่ จ.เชียงใหม่, จ.สงขลา เป็นต้น แต่กลับมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง กับแอปพลิเคชั่นถุงเงินของร้านค้าดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ใน จ.สมุทรสาคร ประชาชนได้รับโอนเงินส่วนต่างจากเจ้ามือ จำนวน 80-100 บาท ต่อการทำธุรกรรมใช้จ่ายผ่านร้านดังกล่าว

03

ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายของชำที่ ต.คอกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของร้านขายของชำดังกล่าว และพบ นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี บุตรชายเจ้าของร้านดังกล่าว จากการตรวจสอบพบ 1.โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในระบบ G Wallet จำนวน 5 เครื่อง 2.แท็บเล็ต จำนวน 1 เครื่อง 3.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 1 เครื่อง และ 4.บัญชีเงินฝากธนาคาร 6 เล่ม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดี

และจากการสอบสวนปากคำ น.ส.สมปอง เจ้าของร้าน การดำเนินการทั้งหมดนายสรัล บุตรชายเป็นผู้ดำเนินการ โดยนายสรัลให้การยอมรับว่าได้ตกลงร่วมมือกับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” และใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ในการติดต่อ และเมื่อได้รับเงินจากรัฐบาล ได้โอนเงินคืนให้กับเจ้ามือ ผ่านบัญชีธนาคาร ชื่อ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) โดยทางร้านค้าจะได้ผลประโยชน์ 30 บาทต่อราย ส่วนผู้ใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ได้ 30 บาทต่อราย คนที่มาขายสิทธิจะได้เงิน รายละ 90 บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่สอบสวนปากคำประชาชนที่ใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าดังกล่าวจำนวน 14 จุด ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิเช่น จ.ลพบุรี ,ชลบุรี ,ชัยภูมิ ,บุรีรัมย์ ,สุรินทร์ ,เชียงใหม่ ,สงขลา เป็นต้น และจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนการวิเคราะห์เส้นทางการเงินในคดี ทำให้ทราบว่า เจ้ามือ หรือ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” คือ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภณณ์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นสามีภรรยากัน อยู่ใน จ.ลพบุรี

04

ต่อมาในวันที่ 17 ธ.ค.2563 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) อัตราโทษ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ น.ส.สมปองให้การปฏิเสธ ส่วน นายสรัลให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นายจีรพจน์ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่าไม่รู้เรื่องมาก่อน ส่วนนางกนกภรณ์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าร่วมกับนายสรัลซึ่งนางกนกภรณ์จะเป็นคนหาลูกค้าประชาชนผ่านเฟซบุ๊ก “สาวิตา รักชีพชอบ” จากนั้นจะนำข้อมูลมาล็อกอินผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตังค์สแกนใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น ถุงเงินร้านค้าของนายสรัลโดยไม่มีการซื้อขายจริง

1608285138711

จากการตรวจสอบพบว่ายังมีกลุ่มที่อาจจะเข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะนี้อีกกว่า 700 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะนี้ตำรวจโดย ผบ.ตร. อยู่ระหว่างมีคำสั่งแต่งตั้งชุดปฏิบัติการสืบสวน เพื่อสนับสนุนในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมก่อนว่ามีผู้ใด หรือมีเครือข่ายใดเกี่ยวข้องบ้าง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อาจจะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานฯ ซึ่งมีอยู่ในแต่ละจังหวัดไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยจะให้นำแนวทางการสืบสวนสวนในภาพรวมของ บช.ก. และตำรวจดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

1608285111061

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์เตือนถึงพี่น้องประชาชนว่า แม้คดีฉ้อโกงฯ จะมีอัตราโทษไม่มาก จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ 5 ปี /ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ตาม แต่การกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จะถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ หากมีการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวซ้ำๆ หลายครั้ง ก็จะได้รับโทษในแต่ละครั้งในทุกๆ ครั้ง เมื่อรวมแล้วอาจจะได้รับโทษจำคุก ถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น จึงขออย่าได้เข้าร่วมในการกระทำการทุจริตในโครงการฯดังกล่าว เพราะจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร้านค้าผู้ประกอบการหรือประชาชน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาสของผู้อื่น จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้หลงเชื่อการชักชวนให้กระทำผิดเงื่อนไขโครงการ เพราะทั้งร้านค้าและประชาชนจะถูกตัดสิทธิ์ และจะถูกดำเนินคดีทุกรายซึ่งมีอายุความในการดำเนินคดีถึง 10 ปี

ทั้งนี้ หากท่านพบพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ สามารถแจ้งเบาะแสมาที่ halfhalf@fpo.go.th หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยระบุ รายละเอียดของการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และข้อมูลสำหรับการติดต่อกลับพร้อมหลักฐาน (หากมี) หรือที่ตำรวจ ที่เว็บไซต์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) http://pct.police.go.th/form.php

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ