เมื่อวันที่ 20 ม.ค.64 เวลา 14.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานที่บ้านลุงพล หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร นำโดยนายไชย?์พล วิภา หรือ ลุงพล พร้อมด้วยนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น และทนายรัชพล ได้จัดแถลงข่าวเพื่อตอบข้อสงสัยทุกอย่าง โดยได้นำสเตทเมนต์การเปิดรับบริจาคมาแสดง
ลุงพล เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่เปิดบัญชีรับบริจาคนั้น ตนได้เปิดบัญชีและพาพระสมบัติไปเปิดบัญชีด้วย แต่ไม่สามารถเปิดบัญชีบริจาคได้ เพราะวัดภูหลวงยังไม่มีตราตั้งการสร้างวัด เนื่องจากยังเป็นสำนักสงฆ์ ทำให้ธนาคารไม่เปิดบัญชีบริจาคให้ ซึ่งเมื่อไม่มีบัญชีกลาง ตนก็กลัวว่าผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมบุญจะโอนเงินผ่านช่องยูทูเบอร์ต่าง ๆ ตนเกรงว่าจะมีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นภายหลัง จึงตัดสินใจให้ผู้ศรัทธาให้โอนเงินเข้าบัญชีที่เปิดใหม่
โดยมีผู้ร่วมเปิดบัญชี 3 คน ซึ่งผู้ร่วมเปิดบัญชีมีชื่อตน นายแถน เงินนาม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และนายอ๋อ ยูทูเบอร์ เพราะอยากให้โปร่งใส ซึ่งการเบิกจ่ายเงินแต่ละครั้ง จะต้องมีทั้ง 3 คนไปเบิกด้วยกัน ตนไม่สามารถเบิกเพียงผู้เดียวได้
กรณีการเปิดรับบริจาคที่ใช้ภาพถ่ายของนักข่าวและดาราบางคนมาตัดต่อ โพสต์ขอรับบริจาคนั้น ตนเปิดได้เพียงวันเดียว ก็ได้รับคำแนะนำว่าภาพดังกล่าวไม่เหมาะสม และขอให้ตนปิดบัญชีบริจาค แต่บังเอิญว่าช่วงนั้นเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ธนาคารปิด ทำให้ปิดบัญชีล่าช้าไป 3 วัน แต่เมื่อถึงวันทำการ ตนก็รีบอายัดบัญชีทันที ก็พบว่ามีเงินเข้ามาในบัญชีจำนวน 886,914.82 บาทแล้ว
ลุงพล กล่าวอีกว่า ตนไม่มีเจตนาจะตั้งไม้ให้ใครมากราบไหว้ เพราะตนตั้งใจจะนำไม้ท่อนนี้มาทำเสาบ้าน แต่ไม้มีเนื้อสีเหลือง ตนมีความเชื่อส่วนบุคคลว่าอาจจะเป็นไม้ตะเคียน แต่ตนก็ไม่ทราบว่าเป็นไม้อะไร จึงเอาไปตั้งไว้ตรงนั้น และบังเอิญว่ามีแฟนคลับโทรศัพท์มาหาว่ามีไม้ตะเคียนอยู่ห่างจากบ้านลุงพลไม่ไกลนัก ตนจึงเกิดความสงสัยว่าแฟนคลับคนนั้นรู้ได้อย่างไร จึงเอามาตั้งไว้ แต่ไม่มีเจตนาหลอกลวงชาวบ้านให้กราบไหว้ แต่มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนไม้นั้น เจ้าหน้าที่บอกว่าจะต้องไว้ที่บ้านก่อนจนกว่ากระบวนการจะสิ้นสุด
กรณีที่ ผบ.ตร. พูดว่า คดีมีความคืบหน้าและมีคนนอนไม่หลับ ตนก็เชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าคนที่ทำผิดรู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่รู้ตัวแล้ว และตนรู้สึกดีใจที่คดีมีความคืบหน้า เพราะตนก็อยากเห็นหน้าคนร้ายที่ทำกับน้องชมพู่ ถ้า ผบ.ตร. พูดถึงขนาดนี้ ตนก็รู้สึกดีใจที่สามารถสาวไปถึงคนร้ายได้ อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ว่าตนและป้าแต๋นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่เห็นน้องชมพู่ในวันที่หายตัว และตนยังจำไทม์ไลน์ของวันที่ 11 พ.ค.63 ได้อย่างชัดเจน และที่ผ่านมายืนยันว่าไม่เคยข่มขู่พยานในหมู่บ้าน
จากกรณีนายไชย์พล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้แสดงอาการคุกคามสื่อมวลชน จนเกิดเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลุงพล หลังจากที่ถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จนั้น
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาพูดคุยกับ ทนายรัชพล ศิริสาคร ทนายที่ลุงพลได้ปรึกษาหารือ เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมที่ลุงพลประชิดตัวนักข่าว ตนมองว่าเข้าข่ายการทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน แต่ตนได้พูดคุยกับลุงพลแล้ว ในส่วนนี้เขาก็มีความรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษผู้สื่อข่าวทั้ง 2 ช่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าทางผู้เสียหายจะยินยอมรับคำขอโทษหรือไม่ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของลุงพลที่จะขอโทษ และเป็นสิทธิ์ของผู้เสียหายที่จะยินยอมรับคำขอโทษหรือไม่
กรณีท่อนไม้ที่ตั้งอยู่หน้าบ้านลุงพล และมีการกราบไหว้กันนั้น เพราะลุงพลเคยเล่าให้ตนฟังว่า เนื้อไม้มีสีเหลืองคล้ายต้นตะเคียน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาลุงพลเคยพูดอะไรไว้บ้าง แต่ถ้าเจตนาหลอกลวงว่าท่อนไม้เป็นไม้ตะเคียนทอง และมีการเปิดรับบริจาคก็เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน แต่ถ้ามีการบอกว่า เป็นต้นตะเคียนทองแล้วให้คนมากราบไหว้ ไม่มีการเปิดรับบริจาคเรื่องต้นตะเคียน ในส่วนนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายมาเอาผิดได้
ส่วนเรื่องรายได้ของลุงพลนั้น ตนก็เคยบอกกับลุงพลไปแล้วว่า ถ้ามีรายได้สูงจะต้องมีการเสียภาษี ซึ่งภาษีที่ต้องเสียนั้นเป็นรายได้จากปี 2563 และต้องจ่ายปี 2564 ซึ่งตอนนี้ถ้าสรรพากรจะไปตรวจย้อนหลังก็คงจะไม่เจออะไร เพราะในตอนนั้นรายได้ของลุงพลยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่ในส่วนรายได้ของปี 2563 นั้น ลุงพลยังสามารถไปยื่นจ่ายภาษีได้ถึงเดือนมี.ค.64 ซึ่งลุงพลยังไม่ได้กังวลอะไร
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กังวลเรื่องที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้ลุงพล เพราะถ้าตนไม่เข้ามาเป็นทนาย ลุงพลก็ต้องไปปรึกษาทนายคนอื่นอยู่ดี ในส่วนนี้ตนมองว่าเป็นสิทธิ์ของลุงพลที่จะปรึกษาใครก็ได้ที่มีความรู้ทางกฎหมาย ซึ่งตนก็ทำหน้าที่ในฐานะนักกฎหมาย เพราะเป็นอาชีพของตนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เท่าที่ตนพูดคุยกับลุงพลนั้น เขาค่อนข้างที่จะเครียด วิตกกังวล เพราะหลายเรื่องรุมเข้าไปที่เขาคนเดียว ทั้งคดีน้องชมพู่ คดีไม้ตะเคียน เรื่องการจ่ายภาษี เรื่องรูปภาพตัดต่อรูปคนอื่นเปิดรับบริจาค ทำให้เจ้าตัวเครียดและน่าจะมีอารมณ์แปรปรวน จึงทำให้ลุงพลแสดงท่าทีออกมาแบบนั้น
สุดท้าย ตนในฐานะทนายความของลุงพล ก็ต้องบอกตามตรงว่า ลุงพลที่เป็นชาวบ้านธรรมดาก็อาจจะมีอารมณ์โมโหบ้าง แต่ในสิ่งที่ลุงพลไปแย่งไมค์นักข่าวนั้น เจ้าตัวก็บอกกับตนว่ารู้สึกผิด และอยากเดินทางไปขอโทษทางคุณพุทธ และคุณฟ้า นภัส ที่ช่องอมรินทร์ ซึ่งถ้าผู้เสียหายไม่ยินยอม ลุงพลก็พร้อมที่จะรับโทษทางกฎหมาย
วันเดียวกันนี้ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ ตาชาญ เชื้อคมตา ตาของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ลุงพลออกมาขอโทษ และตนในฐานะพ่อตาก็อยากจะขอโทษน้องฟ้า นภัส นักข่าวอมรินทร์ ทีวี ด้วยตัวเอง เมื่อเช้าตื่นขึ้นมายังตามหาแต่ก็ไม่เจอตัว คิดว่าน้องคงเดินทางกลับแล้ว
แต่ส่วนตัวเชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เป็นพฤติกรรมส่วนตัวของลุงพล เวลาที่มีเรื่อง หรือมีความเครียด ก็มักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว ตนในฐานะพ่อตาเคยพบเห็นพฤติกรรมแบบนี้มาหลายครั้ง มองว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นนิสัยส่วนตัว อีกทั้งมีหลายครั้งที่ทะเลาะกับป้าแต๋น ก็ยังมีการใช้เสียงตะโกนด่าทอกัน แต่ตนรู้นิสัยดีว่าลุงพลเป็นคนอย่างไร
สำหรับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ลุงพลอาจมีเจ้าแม่โสรภี เข้าสิงหรือไม่ ตนเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการเข้าสิงอะไรเลย แต่ลุงพลเกิดจากความเครียด และแสดงพฤติกรรมส่วนตัว ในเรื่องของความเชื่อ และการที่ลุงพลมีบารมี ส่วนตัวมีความเชื่อ 50:50 เพราะระยะหลัง ลุงพลเริ่มมีการบูชา และเคารพพญานาคหรือเจ้าแม่โสรภี ชีวิตของลุงพลก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตนก็มีความเชื่อว่าอาจเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นเพราะส่วนตัวของเขาในการขยันทำงาน
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับนางจำลอง แดนกาไสย เพื่อนซี้ของลุงพล และอยู่ในเหตุการณ์ที่ลุงพลประชิดตัวนักข่าว เปิดเผยว่า ในช่วงเกิดเหตุนั้นตนก็อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันได้ว่าลุงพลไม่ได้คิดทำร้ายนักข่าว แต่ลุงพลเพียงพยายามจะขอไมค์ของช่องอมรินทร์ ทีวี ไปถือ แต่น้องฟ้าไม่ปล่อยและน้องฟ้าก็พูดว่า "อย่าทำร้ายร่างกายผม"
ทั้งนี้ตนก็อยู่ใกล้ ๆ และไม่เห็นว่าลุงพลจะทำร้ายร่างกายน้องฟ้าตรงไหน แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุชุลมุน ตนจึงได้ดึงน้องฟ้าออกจากกลุ่มคน เพราะไม่อยากให้ทะเลาะกัน เพราะตนก็รักและเอ็นดูทั้งน้องฟ้าและลุงพล ซึ่งในนาทีนั้นตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจดึงน้องฟ้าออกมาก่อน แต่ในตอนนั้นตนมั่นใจว่าลุงพลไม่ทำร้ายน้องฟ้าอย่างแน่นอน แค่ตบหลังหยอกเบา ๆ ไม่แรง แค่เสียงดัง เพราะเขาทั้งคู่รู้จักกัน
นอกจากนี้ตนไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรแทนลุงพล เพราะถ้าน้องฟ้าไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนลุงพลไม่มีอะไร เพียงแต่อาจจะไม่ให้สัมภาษณ์เป็นเวลา 2 เดือนตามที่เคยบอกไว้ ซึ่งตนคิดว่าสาเหตุที่ลุงพลเปลี่ยนไป เพราะเขาอาจจะเครียดสะสมหลายอย่าง
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าลุงพลคงจะสำนึกผิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเขาทำอีกก็คงแล้วแต่เวรกรรม แต่ตนยืนยันว่าตนยังรักนักข่าวเหมือนเดิม ลุงพลก็ยังเหมือนเดิมกับนักข่าว แค่แสดงออกเสียงดังเท่านั้น ซึ่งตนก็ได้เตือนลุงพลไปแล้วว่าให้ใจเย็นกว่านี้ สุดท้าย ตนคิดว่าตอนที่เกิดเหตุนั้นคงไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเข้า แต่อาจจะเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น