วันนี้ (13 พ.ค. 61) ศาลอาญามีคำสั่งให้ประกันตัว พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการตำรวจสันติ ด้วยจำนวนเงิน 300,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ ยกเว้นได้รับอนุญาต และห้ามยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน (อ่าน :
“สันธนะ” รอดคุก! ศาลให้ประกัน 3 แสน สั่งห้ามออกนอกประเทศ – เอี่ยวพยาน)
โดยภายหลังได้รับการประกันตัว พ.ต.ท.สันธนะ เปิดเผยว่า ตนรู้สึกว่าตำรวจขยันมาก ทำคำร้องเพิ่มเติมเพื่อคัดค้านการประกันตัวหลายหน้ากระดาษ เพราะไม่ต้องการให้ปล่อยตัว โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีของตน เป็นคดีความผิดเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ผู้ต้องหาคนเดียวเดียวกัน จึงสั่งให้รวมคำร้องฝากขังเป็นคำร้องเดียว
ขณะที่ตอนนี้ตนรู้แล้วว่ามีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า 8 ราย ที่อาจจะเกิดจากความเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ตาม เข้ามาชี้ตัวว่าตนและพนักงานในตลาด ร่วมกันเป็นขบวนการเรียกเก็บเงิน แต่ก็แปลกใจว่าทำไมมีพ่อค้าแม่ค้า 8 ราย บอกว่าถ้าไม่จ่ายค่าคุ้มครองจะขายที่นี่ไม่ได้ ซึ่งที่ตลาดมีร้านค้ากว่า 500 ร้าน ทำไมจึงมีแค่ 8 ร้านที่ออกมาบอกแบบนี้ ซึ่งตนก็เห็นรายชื่อคนที่เข้ามาแจ้งความแล้ว ก็จะไปตรวจสอบว่าเป็นผู้ค้าจริงหรือไม่ เพราะเท่าที่ดู ชื่อและนามสกุลก็ไม่คุ้น
ด้าน
พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีประมาณ 15-20 คน ตำรวจได้ขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับแล้ว 11 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการหลบหนี ทางแนวชายแดน และต่างจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติ พบว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่เคยมีคดีเก่า ในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกออกหมายจับในครั้งนี้
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.สันธนะ จะดำเนินคดีกับผู้ค้าที่เข้าร้องทุกข์กับตำรวจ ตนขอยืนยันว่า หากผู้เสียหายหรือพยานถูกดำเนินคดี ผู้แจ้งความจะถูกดำเนินคดีข้อหาแจ้งความเท็จ พร้อมระบุว่า การดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.สันธนะ ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนบุคคล แต่เป็นการขยายผลจากปฏิบัติการทลายสินค้าที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ พ.ต.ท.สันธนะ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวอมรินทร์ ทีวี โดยยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับผู้ร้องเรียน ซึ่งจากที่ได้ดูรายชื่อทั้งผู้ค้า-ผู้เช่า ก็ไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้คนดูแลตลาด ไปช่วยตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านั้นอยู่ในตลาดจริงหรือไม่ แต่ส่วนตัวก็ยังสงสัยว่ามีเหตุผลใด ทำไมกลุ่มคนเหล่านั้นจึงไปร้องว่าตนเองเรียกเก็บค่าคุ้มครอง ซึ่งก็ทราบมาตลอดว่าเงินที่มีการเก็บนั้นก็เป็นค่าส่วนกลางของตลาด โดยมีการลงบันทึกบัญชีแสดงการใช้จ่ายอย่างถูกต้อง และก็เป็นส่วนที่ผู้ค้าได้ตกลงทำเป็นสัญญากับตลาดตั้งแต่แรก
พ.ต.ท.สันธนะ ยังกล่าวถึงกรณีที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะมีการฟ้องดำเนินคดีกลับ แก่คนที่เข้าร้องต่อตำรวจว่าตนเองเรียกเก็บค่าคุ้มครองนั้น ซึ่งเรื่องนี้ ถ้ามีการตรวจสอบได้ว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะฟ้องกลับ ซึ่งหากจะกล่าวอ้างว่าตนเองเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าคุ้มครอง ก็ต้องแสดงให้ชัดว่า มีเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างไร มีการโอน การส่งมอบเงินให้กับใคร ดังนั้นการเก็บค่าส่วนกลางตามการบริหารงานของธุรกิจ จึงไม่เรียกว่าค่าคุ้มครอง ตำรวจจึงต้องทำความเข้าใจใหม่
และกรณีที่ตำรวจกำลังสอบสวนผู้ร้องรายอื่นๆ เนื่องจากมีคนร้องเพิ่มขึ้น และตำรวจเตรียมจะตั้งข้อหาเพิ่มอีก 22 คดี นั้น พ.ต.ท.สันธนะ ระบุว่า เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน เพราะขณะนี้ตนเองอยู่ในส่วนอำนาจของศาลยุติธรรมแล้ว จะมีอีกกี่ข้อหา อีกกี่คดี หรือคดีลักษณะเดียวกัน จะเพิ่มมาอีก 100 คดีก็ไม่มีผลใดๆ เพราะพนักงานสอบสวนไม่มีสิทธิ์จะไปขอให้มีการออกหมายจับเพิ่ม ยกเว้นศาลจะเรียกให้ไปพบหรือรายงานตัว
ทั้งนี้ บรรยากาศที่บ้านของ พ.ต.ท.สันธนะ พบว่า ภายในครอบครัวได้พูดคุยยิ้มแย้ม และให้กำลังใจกันตลอด โดยภรรยาพ.ต.ท.สันธนะ ยังทักทายพูดคุยปลอบ และช่วงหลังสัมภาษณ์เสร็จ ก็ยังออกมาทักทาย พูดหยอกล้อกัน สร้างรอยยิ้มให้พ.ต.ท.สันธนะ ด้วย