เมื่อวันที่ 21 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร พบกับพ่อแบม นายวัชรินทร์ กงแก่ท้าว ชาวบ้านกกกอก พยานสำคัญที่พึ่งผ่านเครื่องจับเท็จของพิสูจน์หลักฐาน 1 วันนี้เพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านใน จ.มุกดาหาร และยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลชุดเดียวกันกับที่ให้การกับตำรวจ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีน้องชมพู่
พ่อแบม พาทีมข่าวไปยืนอยู่บริเวณครัวหลังบ้าน จุดที่ในช่วงเวลา 09.00 น. ขณะที่กำลังต้มน้ำร้อน ได้ยินเสียงคนตรอกไม้ 3 ครั้งดังมาจากสวนมันนายหว่าง
จากนั้นเวลา 09.10 น. เห็นชายปริศนา เดินหายไปในก่อไผ่ท้ายสวนยาง ซึ่งพ่อแบม บอกว่า ยืนอยู่ในครัวมองออกไปผ่านช่องว่างหลังบ้าน เห็นจุดที่เป็นกอไผ่ มีคนเดินหายเข้าไปในนั้น ซึ่งจุดที่ยืนอยู่ ยืนยันว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายแน่นอน
หลังจากนั้น พ่อแบมได้พาทีมข่าวเดินผ่านทะลุสวนยางหลัง มุ่งหน้าไปที่กอไผ่ ห่างตัวครัวบ้าน 200 เมตร เมื่อไปถึงจุดดังกล่าว พ่อแบมบอกกับทีมข่าวว่า ตนเห็นชายปริศนายืนอยู่บริเวณกึ่งกลางของกอไผ่ จากนั้นก็ได้เดินหายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งเดินอ้อมไปด้านหลังของกอไผ่
กอไผ่ที่พ่อแบมบอกกับทีมข่าวนั้น ถ้าเข้าไปภายใน จะพบว่าใต้กอไผ่ มีลักษณะคล้ายโพรง สามารถมุดเข้าไปซ่อนตัวในนั้นได้ โดยมีความสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 3 เมตร คนสามารถเข้าไปนั่งในนั้นได้ และยังสามารถนำของบางอย่างเข้าไปซ่อนบังสายตาได้ ที่สำคัญเมื่อเข้าไปอยู่ข้างในนั้น จะไม่สามารถถูกมองเห็นได้จากภายนอกได้ เพราะมีใบไผ่ปิดเอาไว้รอบด้าน
แต่หลังจากที่ทราบข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป ชาวบ้านรวมถึงตนได้ย้อนมาที่กอไผ่ เพื่อสำรวจและค้นหาเบาะแสของน้องชมพู่ โดยใช้ไม้กระทุ้งเข้าไปยังจุดต่าง ๆ ในกอไผ่ แต่ก็ไม่เจอเสื้อหรือสิ่งผิดปกติ และไม่ทันได้สังเกตว่ามีร่องรอยของคนมาอาศัยอยู่หรือไม่ เพราะมีชาวบ้านหลายคนเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
พ่อแบม ยังบอกอีกว่า จนถึงวันนี้ ตนยังคงยืนยันว่าสิ่งที่ให้การกับตำรวจ เป็นข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ให้ข่าวใหม่ แต่การออกมาให้ข้อมูลก็ยังมีความกังวล เรื่องของความปลอดภัย ทั้งตัวเองและครอบครัว และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการออกมาให้ข้อมูลจะเป็นผลดีต่อตัวเองหรือไม่ แต่ในมุมก็เชื่อว่าจะทำให้คดีมีความคืบหน้า และให้ความเป็นธรรมกับน้องชมพู่ได้ พร้อมกับยืนยันกับทีมข่าวอีกครั้ง เห็นชายปริศนาหายเข้าไปในก่อไผ่จริง เป็นข้อมูลจริงที่ให้การกับตำรวจไปแล้ว พร้อมทั้งไม่ขอระบุว่าชายคนนั้นคือใคร แต่หากเป็นคนที่รู้จักกัน มองเห็นไกลแค่ไหน ก็ต้องจำได้อย่างแน่นอน
พ่อแบม ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมข่าวอีกว่า หากเชื่อมโยงจุดที่มีความเกี่ยวข้องกับคดี เช่นเดียวกับสวนมันของป้าจำลอง ที่ทุกคนเจอรอยเท้าสุดท้ายของเด็ก คาดว่าเป็นของน้องชมพู่ จะอยู่ห่างจากกอไผ่เพียงแค่ 70 เมตร และหากนำมาเทียบต่อเนื่องกัน จุดแรกคือสวนมันยายจำลองอยู่ใกล้กับบ้านน้องชมพู่ ถัดมาจะเป็นส่วนมันของนายหว่าง ซึ่งอยู่ด้านหลังสวนยางพาราใกล้กับกอไผ่ และในแนวระนาบเดียวกันก็จะเป็นกอไผ่จุดที่ตนเจอชายปริศนา ดังนั้นจึงไม่ขอฟันธงว่าเกี่ยวข้องกันมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าข้อมูลที่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว คงจะเชื่อมโยงได้ทั้งหมด
นายหว่าง ปู่ฝ้าย เจ้าของสวนมัน จุดที่พ่อแบม บอกว่าได้ยินเสียงคนตรอกไม้ 3 ครั้ง เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พ.ค.63 วันที่น้องชมพู่หายตัวไป ตนนอนอยู่ที่บ้านกับภรรยา ไม่ได้เดินทางไปที่สวนมันสำปะหลัง จุดที่พ่อแบมได้ยินเสียงคนตรอกไม้ และในวันดังกล่าวตนก็ไม่ได้นำวัวหรือควายไปผูกจุดนั้น คาดว่าอาจเป็นเสียงชาวบ้านที่ขึ้นไปตัดไม้บนเขาเหล็กไฟก็ได้ เพราะยิ่งในช่วงตอนเช้าเป็นช่วงที่เงียบ อาจทำให้เสียงก้องลงมาจากเขา แต่หากมีชาวบ้านเข้ามาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายในพื้นที่ ก็จะไม่มีการตรอกหลักผูก เนื่องจากเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ
กรณีที่ชาวบ้านไปเข้าเครื่องจับเท็จว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คดีมีความคืบหน้า และก็ยังเป็นเรื่องที่ดีที่พ่อแบม ยอมออกมาเปิดเผยข้อมูลสิ่งที่ให้การไปกับตำรวจ ดังนั้นจะทำให้คดีมีความคืบหน้า และเป็นผลดีต่อน้องชมพู่ แต่ตนก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่พ่อแบมออกมาเปิดเผย มีความเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ดังนั้นก็ทำใจเป็นกลางเอาไว้ดีกว่า แต่เชื่อว่าพ่อแบมก็อาจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่ข้อมูลเท็จแต่อย่างใด
จากนั้นทีมข่าวได้ทดสอบนำถังน้ำ น้ำหนัก 12 กิโลกรัม ยัดลงไปในกระสอบสีขาว เพื่อจะนำไปทดสอบจำลองยกขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ เมื่อไปถึงบริเวณกอไผ่จุดที่พ่อแบมพบเห็นชายปริศนา ทีมข่าวใช้มือถือ เริ่มต้นจับเวลา ช่วงที่ผ่านมาเป็นฤดูฝนทำให้หญ้ารก ประกอบกับชาวบ้านไม่ค่อยใช้เส้นทาง เนื่องจากเป็นช่วงที่ไม่มีของป่าหรือเห็ด จึงทำให้ทางค่อนข้างรก แต่หลังจากพ้นจากเส้นทางดังกล่าวแล้ว ก็จะมีต้นหญ้าโตสลับกับไม้บนภูเหล็กไฟ
แต่เมื่อถึงจุดระยะ 150 เมตรแรก หลังจากที่ขึ้นตรงมาจากกอไผ่ จะมาเจอทางสามแยก ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เชื่อมมาจากสวนมันหลังบ้านน้องชมพู่ เป็นจุดที่ทีมข่าวเคยใช้ขึ้นลงภูเหล็กไฟ และใช้ทดสอบจำลองเส้นทางในแต่ละครั้ง หากย้อนลงไปบริเวณจุดสามแยก ลงไปด้านล่างจะไปเจอกับแท็งก์น้ำ โดยจะใช้ระยะทางประมาณ 200 เมตร ดังนั้นหากขึ้นจากทางลัด ซึ่งเป็นหลังกอไผ่ จะร่นระยะทางได้ 50 เมตร
หลังจากผ่าน บริเวณสามแยกซึ่งเป็นจุดเชื่อมจากเส้นทางเดิม หรือเส้นทางเก่าที่เคยใช้ขึ้นลงจากบ้านน้องชมพู่ไปยังจุดพบศพ ก็จะกลับไปใช้เส้นทางเดิมที่เคยใช้ขึ้นลงเป็นประจำ และเป็นเส้นทางที่ทีมข่าวเคยขึ้นลงไม่ต่ำกว่า 15 ครั้ง โดยจะผ่านไปยังจุดต่าง ๆ ที่เป็นพักสำคัญ (พัก 1,2,3,4) หรือแม้แต่โขดหินสูงชัน ก็ยังเดินตามเส้นทางเก่าทั้งหมด
ดังนั้น จากจุดหลังกอไผ่บ้านพ่อแบม ไปยังจุดพบศพ จะเป็นลักษณะทางตรงมากที่สุด และใช้ระยะทางเพียง 1.5 กม. จากเดิมที่ทีมข่าวเคยทดสด หากใช้เส้นทางหลังบ้านน้องชมพู่ ผ่านบริเวณไร่มันสำปะหลัง จะมีระยะทาง 1.2 กม. ซึ่งรวมระยะเวลา 52.25 นาที โดยทีมข่าวได้แวะพัก 2 ครั้ง ที่พัก 1 และพัก 2 จุดละ 5 นาที
เมื่อทีมข่าวไปถึงด้านบนจุดที่พบศพน้องชมพู่ ทีมข่าวได้จำลองทิ้งกระสอบเอาไว้ด้านบน และเริ่มต้นจับเวลาใหม่ โดยทีมข่าวได้ทดสอบวิ่งสลับเดิน เพราะบางจุดเป็นทางชัน ไม่สามารถที่จะวิ่งลงเขาได้ เนื่องจากเป็นโขดหินขนาดใหญ่ ประกอบกับพื้นที่ลาดชัน หากวิ่งลงก็จะหกล้ม แต่ระยะทางลงแม้ว่าจะเป็นทางเดิมที่ขึ้นไปแต่ตอนแรก ทีมข่าวไม่ได้แวะพัก เนื่องจากใช้พลังงานน้อย เมื่อมาถึงบริเวณจุดก่อไผ่ ทีมข่าวได้หยุดเวลา พบว่าใช้เวลาเพียง 29.14 นาที หากเป็นชาวบ้านที่ชินทาง ก็สามารถวิ่งลงมาได้โดยไม่หยุดพัก อาจทำให้มีระยะเวลาที่น้อยกว่าที่ทีมข่าวทดสอบในวันนี้
นอกจากนี้ ในช่วงที่ทีมข่าวขึ้นมาบริเวณจุดพบศพน้องชมพู่ ยังสังเกตได้ว่ามีเครื่องเซ่นไหว้ และจุดธูป 1 ดอกเอาไวั โดยเครื่องเซ่น คือ ส้ม 2 ลูก นมเปรี้ยว และขนมปัง ตาดว่ามีคนเอามาวางไว้ให้ ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ดังนั้นอาจหมายความว่ามีคนขึ้นมาก่อนหน้านี้ที่จุดพบศพ
นายมานพ พลสว่าง หรือนายม๊อค บอกว่า จุดนี้ปกติจะไม่มีคนขึ้นมา โดยเฉพาะชาวบ้านทั่วไป เพราะหลังเกิดเหตุ คนจะขึ้นมาน้อยมาก เนื่องจากกลัวมายุ่งกับวัตถุพยาน กลัวจะต้องเอี่ยวกับคดี แต่เชื่อว่าคนที่เอาของขึ้นมาไหว้ มาเซ่นน้องชมพู่ ต้องเป็นคนในครอบครัว หรือคนสนิทเท่านั้น เพราะไม่มีใครขึ้นมาได้ ประกอบกับ ต้องเป็นคนที่ชินทาง