กรณีไบก์เกอร์สาวรายหนึ่ง ขี่จักรยานยนต์ซิ่งทะลุไม้กั้นทางด่วน ขึ้นไปใช้ทางพิเศษ และเกิดการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่การทาง จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวแชร์ทั่วโลกออนไลน์ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
กระทั่งโลกโซเชียลฯ ไปขุดวีรกรรมของเธอและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหนัก โดยแฟนเพจ เปาบุ้นจุ้น ได้โพสต์คลิปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาวถือดาบยาว ทุบรถ และลากไปขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่จะตะโกนเสียงดัง ประกาศว่า "จำไว้ว่ากูชื่อ..." พร้อมบอกชื่อของเธอ และโวยวายอยู่พักใหญ่ และมีภาพหลังจากโดนจับกุม
ล่าสุดวันที่ 22 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ บ้านพักแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านฝนทองนิเวศน์ แขวงอนุเสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ ลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นติดกันหลายหลัง นางแก้วตา แม่ของสาวไบก์เกอร์ ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ลูกสาวเรียนจบก็ไม่ได้เข้ามาหา แต่ยังโทรติดต่อกันอยู่ โดยลูกสาวอาศัยอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3
โดยตนยอมรับว่า ลูกสาวมีนิสัยดื้อ และเป็นผู้หญิงเก่ง ไม่ชอบให้ใครไปซักไซร้ถามเรื่องส่วนตัว แม้แต่ตนที่เป็นแม่ หากสอบถามก็จะทำให้ลูกสาวรู้สึกหงุดหงิด จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนในครอบครัวรู้สึกเครียดมาก เพราะกระแสข่าวค่อนข้างจะโจมตีลูกสาว ทั้งนี้ลูกสาวบอกกับตนเพียงว่า จัดการเองได้ ตนจึงไม่ทราบเรื่องราวลึก ๆ ว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ส่วนพ่อเป็นทหารอากาศ ปัจจุบันทำอาชีพขับแท็กซี่ พอได้ยินผู้โดยสารกล่าวถึงลูกบนรถก็ได้แต่เงียบ ไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม น้องชายของสาวไบก์เกอร์ได้บอกกับตนว่า อยากจะให้พาไปรักษาอาการ เพื่อจะได้สงบจิตสงบใจ เพราะก่อนที่จะเรียนจบปริญญาตรี ลูกสาวมีความเครียดสะสมเกี่ยวกับเรื่องการเรียน ทำให้แสดงพฤติกรรมที่ค่อนข้างจะรุนแรงออกมา ก่อนจะเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศรีธัญญา เพราะมีอาการคล้ายมีความผิดปกติทางจิตประสาท
ทั้งนี้ตนมองว่าช่วงนี้ลูกสาวน่าจะรู้สึกเครียดเรื่องงาน เนื่องจากลูกสาวของตนทำธุรกิจขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ และทำเพียงคนเดียว และมักจะบ่นให้ตนฟังว่าทำอยู่คนเดียว ไม่มีเงินเดือน และเงินที่ได้มาไม่พอใช้ รวมถึงของที่สั่งมาขายก็มาส่งช้า แต่ลูกสาวก็ไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้าน โดยลูกสาวบอกกับตนว่า มาอยู่ที่นี่ไปส่งของลำบาก
นอกจากนี้ ลูกสาวมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ทั้งค่าเช่าคอนโดฯ และค่าผ่อนบิ๊กไบก์ โดยรถบิ๊กไบค์คันที่เกิดเหตุ เพิ่งจะซื้อมาได้ประมาณ 1-2 ปี และยังผ่อนไม่หมด ซึ่งตนก็เคยกล่าวเตือนว่า “เอามาทำอะไร ไม่มีประโยชน์” สุดท้ายนี้ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ พอลูกโตขึ้นคงจะไปควบคุมพฤติกรรมไม่ได้มาก และได้แต่ให้กำลังใจตลอดว่า ทำอะไรควรจะมีสติเสมอ
ร.ต.อ.วินัย ศรีพจน์ รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.เมืองสิงห์บุรี ผู้เข้าไปเจรจา บอกว่า ตอนนั้นทราบข่าวแล้วว่า น.ส.สุภิสรา คือคนเดียวกับสาวไบก์เกอร์ ซึ่งในวันที่เกิดเหตุที่ จ. สิงห์บุรี เป็นวันที่ได้รับแจ้งว่ามีคนอาละวาด ฟันรถไป 4 คัน เมื่อไปถึงน.ส.สุภิสรา ก็บอกว่า อยากพบผู้พันเบิร์ด ตนเลยบอกไปว่า จะพาไปพบ ทำให้น.ส.สุภิสรา อ่อนลง ซึ่งวันนั้นตนทำตามขึ้นตอนที่เคยฝึกมา เรื่องหลักการเจรจา ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
จากนั้นจึงค่อย ๆ สอบถามว่าเป็นอะไร ก่อนจะพาไปที่โรงพัก แต่อารมณ์ของน.ส.สุภิสรา ขึ้น ๆ ลง ๆ จึงนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าเขามีอาการป่วยหรือไม่ จนมารู้ว่าเขาคือคนเดียวกับสาวไบก์เกอร์ ที่ขี่รถชนไม้กั้นทางด่วน