กรณีพ่อแบม พยานในคดีน้องชมพู่ที่เข้าเครื่องจับเท็จ พาทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สำรวจกอไผ่ที่พ่อแบมบอกกับทีมข่าวว่า ถ้าเข้าไปภายในจะพบว่าใต้กอไผ่มีลักษณะคล้ายโพรง สามารถมุดเข้าไปซ่อนตัวในนั้นได้ โดยมีความสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 3 เมตร คนสามารถเข้าไปนั่งในนั้นได้ และยังสามารถนำของบางอย่างเข้าไปซ่อนบังสายตาได้ ที่สำคัญเมื่อเข้าไปอยู่ข้างในนั้น จะไม่สามารถถูกมองเห็นได้จากภายนอกได้ เพราะมีใบไผ่ปิดเอาไว้รอบด้าน
แต่หลังจากที่ทราบข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป ชาวบ้านรวมถึงตนได้ย้อนมาที่กอไผ่ เพื่อสำรวจและค้นหาเบาะแสของน้องชมพู่ โดยใช้ไม้กระทุ้งเข้าไปยังจุดต่าง ๆ ในกอไผ่ แต่ก็ไม่เจอเสื้อหรือสิ่งผิดปกติ และไม่ทันได้สังเกตว่ามีร่องรอยของคนมาอาศัยอยู่หรือไม่ เพราะมีชาวบ้านหลายคนเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
พ่อแบม ยังบอกอีกว่า จนถึงวันนี้ ตนยังคงยืนยันว่าสิ่งที่ให้การกับตำรวจ เป็นข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ให้ข่าวใหม่ แต่การออกมาให้ข้อมูลก็ยังมีความกังวล เรื่องของความปลอดภัย ทั้งตัวเองและครอบครัว และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการออกมาให้ข้อมูลจะเป็นผลดีต่อตัวเองหรือไม่ แต่ในมุมก็เชื่อว่าจะทำให้คดีมีความคืบหน้า และให้ความเป็นธรรมกับน้องชมพู่ได้ พร้อมกับยืนยันกับทีมข่าวอีกครั้ง เห็นชายปริศนาหายเข้าไปในก่อไผ่จริง เป็นข้อมูลจริงที่ให้การกับตำรวจไปแล้ว พร้อมทั้งไม่ขอระบุว่าชายคนนั้นคือใคร แต่หากเป็นคนที่รู้จักกัน มองเห็นไกลแค่ไหน ก็ต้องจำได้อย่างแน่นอน
สภาพร่างกายของน้องชมพู่ท่อนบน ได้แก่ สะโพกมีรูบุบ แผ่นหลังพบรอยขีดข่วน ปาก,รูจมูก,หู มีหนอนซอนไซ กระจกตาดำทั้ง 2 ข้างแห้งและเริ่มขุ่น ริมฝีปากเป็นสีม่วง มีสายสิญจน์พันที่ข้อมือขวา
สภาพร่างกายของน้องชมพู่ท่อนล่าง ได้แก่ ขามีสีเข้มทั้ง 2 ข้าง ข้อเท้าพบรอยขีดข่วน และเท้าเป็นแผลพุพอง
ล่าสุดวันที่ 22 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ย้อนกลับไปที่กอไผ่จุดที่พ่อแบมให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เจอชายปริศนาเข้าไปด้านใน และไม่ได้กลับออกมา พบว่าด้านในมีลักษณะเป็นโพรง ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจถูกใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อนตัวของชายปริศนาในวัน 11 พ.ค.63 ช่วงที่ชมพู่หายตัวไป
ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจด้านใน พบว่าเป็นลักษณะโถงกว้าง ฝากทางกว้างประมาณ 150 ซม. เมื่อเข้าไปลึกได้ประมาณ 1-2 เมตร จะทำให้ทางค่อนข้างแคบลง เหลือความสูงประมาณ 1 เมตร และความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2-3 เมตร ซึ่งทีมข่าวได้ทดสอบโน้มตัวลงนอน และนั่ง ก็พบว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ภายในกอไผ่ และเมื่อมีการแหวกใบไผ่ จะพบว่าพื้นดินเป็นลักษณะดินทรายไม่แข็ง ทีมข่าวจึงได้ทดสอบใช้มือกด ข้อศอกกด หรือแม้แต่หัวเข่ากด ก็พบว่าจะเป็นลักษณะร่องรอยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลึกมาก
ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้ทดสอบเพิ่มเติม หากในวันดังกล่าวชายปริศนา เดินมาด้วยอากาศร้อน หรือด้วยวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่ชินกับการถอดเสื้อ แล้วโน้มตัวลงนอนบริเวณใต้กว่าไผ่เพื่อซุกซ่อนตัว ทีมข่าวจึงได้ทดสอบถอดเสื้อ นอนทับลงบนใบไผ่ ซึ่งใช้ช่วงเวลาประมาณ 20 วินาที ก่อนที่จะลุกขึ้น แล้วสำรวจร่องรอยบริเวณด้านหลัง พบว่าเป็นรอยแดงจากอาการคันของใบไผ่ และยังมีรอยกดทับสีแดง ซึ่งเป็นรอยจากกิ่งไผ่
นอกจากนี้ ในช่วงที่ทีมข่าวขึ้นมาบริเวณจุดพบศพน้องชมพู่ ยังสังเกตได้ว่ามีเครื่องเซ่นไหว้ และจุดธูป 1 ดอกเอาไว้ โดยเครื่องเซ่น คือ ส้ม 2 ลูก นมเปรี้ยว และขนมปัง ตาดว่ามีคนเอามาวางไว้ให้ ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ดังนั้นอาจหมายความว่ามีคนขึ้นมาก่อนหน้านี้ที่จุดพบศพ
นายมานพ พลสว่าง หรือนายม๊อค บอกว่า จุดนี้ปกติจะไม่มีคนขึ้นมา โดยเฉพาะชาวบ้านทั่วไป เพราะหลังเกิดเหตุ คนจะขึ้นมาน้อยมาก เนื่องจากกลัวมายุ่งกับวัตถุพยาน กลัวจะต้องเอี่ยวกับคดี แต่เชื่อว่าคนที่เอาของขึ้นมาไหว้ มาเซ่นน้องชมพู่ ต้องเป็นคนในครอบครัว หรือคนสนิทเท่านั้น เพราะไม่มีใครขึ้นมาได้ ประกอบกับ ต้องเป็นคนที่ชินทาง
พระอธิการอนุชา หรือ พระพล บอกว่า ส่วนตัวมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณของน้องชมพู่ไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว และไปสู่สุคติ โดยไม่ได้ผูกมัดหรือติดอยู่บริเวณจุดดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปสัมผัสด้วยตัวเอง ซึ่งหากเป็นไปได้ ครั้งหนึ่งตนก็จะขึ้นไปบริเวณจุดดังกล่าวเช่นเดียวกัน
แต่การที่นำเครื่องเซ่นไหว้เอาไปไหว้ หรือวางไว้ พร้อมทั้งมีการจุดธูป 1 ดอก อาตมามองว่าไม่ได้เป็นการเซ่นไหว้ให้กับน้องชมพู่ แต่เป็นการเส้นไหว้สัมภเวสี และผีตนอื่น รวมถึงผีป่าผีเขา ที่อยู่บริเวณจุดดังกล่าวมากกว่า ดังนั้นหากเป็นไปได้ ก็ไม่ต้องนำไปวางเอาไว้ หากใครคิดถึงน้องชมพู่ หรือต้องการที่จะอุทิศส่วนกุศลให้น้องชมพู่ แนะนำให้ไปทำบุญกับพระที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ชมพู่จะดีกว่า
ยกตัวอย่าง เช่น ในพุทธการ มีนิทานธรรมเล่าเอาไว้ว่า มีเศรษฐีคนหนึ่ง ฝากให้ลูกน้องนำเครื่องเซ่นไหว้ไปไว้ให้กับลูกที่ตายไปแล้ว ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน แต่ในวันหนึ่งพบว่าสะพานขาด ไม่สามารถข้ามนำเอาเครื่องเซ่นไหว้ไปวางเอาไว้ได้ แล้วไปเจอกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง จึงได้นำของทั้งหมดไปถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย จนกระทั่งในความฝันของเศรษฐีคนดังกล่าว มีลูกมาเข้าฝันแล้วพูดว่า “พ่อไปอยู่ไหนมา หนูเพิ่งได้กินข้าวจากพ่อครั้งแรก” ดังนั้นจึงเปรียบเสมือน การวางเครื่องเส้นไหว้เอาไว้ แต่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่สามารถรับของเรานั้นได้ การทำบุญอุทิศส่วนกุศล จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ผู้ล่วงลับจะได้รับส่วนบุญ
นายไช์พล วิภา หรือลุงพล ลุงเขยน้องชมพู่ กล่าวถึงกรณีการขึ้นเขาภูเหล็กไฟ ว่า ตนจำไม่ได้ว่าขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ส่วนใหญ่ก็จะขึ้นไปพร้อมกับนักข่าว และหากจำไม่ผิดคาดว่าเป็นครั้งที่ขึ้นไปพร้อมกับทนายโนบิ ซึ่งตอนนั้นมาดูเรื่องของคดี จากนั้นจำไม่ได้ว่ามีโอกาสได้ขึ้นไปอีกหรือไม่ แต่ที่พอจะจำได้ ทิ้งช่วงไปนานแล้วพอสมควร
ส่วนกรณีเรื่องของเซ่นไหว้ที่พบล่าสุด ตนเชื่อว่าอาจเป็นกลุ่มชาวบ้านที่ไปหาของป่า และมีโอกาสผ่านไปบริเวณจุดดังกล่าว จึงได้แวะนำของไปวางให้กับน้องชมพู่ แต่ก็ขอไม่คาดเดาว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ ซึ่งส่วนหนึ่งของที่นำเอาไปวางไว้ ตนก็ได้ติดตามข่าวเหมือนกัน ลักษณะเหมือนเอาวางไว้ช่วงประมาณ 1-2 วัน