ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ ที่ จ.มุกดาหาร กรณีพ่อแบมออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเพิ่มเติมว่า เจอชายปริศนาอยู่ที่กอไผ่หลังบ้าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามส่วนยางบ้านลุงพล ในวันเดียวกันกับที่น้องชมพู่หายไป และพ่อแบมยังให้ข้อมูลเกีย่วกับโพรงกอไผ่อยู่ไม่ไกลจากจุดพบรอยเท้านั้น
วันที่ 23 ม.ค. 64 ทีมข่าวทดสอบเดินจากจุดรอยเท้าที่เจอรอยเท้าเด็ก เมื่อสิ้นสุดที่สวนมันหลังบ้านน้องชมพู่ จุดดังกล่าวจะมีทางที่เดินทะลุไปตามทางผ่านสวนมันชาวบ้าน คือสวนของผู้ช่วยจ่อย และสวนของนายหว่าง วันดังกล่าวจะมีต้นมันสูงประมาณ 1 ฟุต แต่วันนี้พบว่า มีการเก็บเกี่ยวไปแล้ว จึงทำให้เป็นพื้นที่โล่ง รอทำการเพาะปลูก แต่แม้ว่าในวันดังกล่าวจะมีต้นมันปลูกอยู่ ก็ยังมีเส้นทางที่สามารถเดินลัดเลาะได้ เพราะเป็นทางสำหรับใช้สัญจรและแบ่งแนวเขตของสวนมัน
ระหว่างที่ทีมข่าวเดินผ่านบริเวณสวนมันของผู้ช่วยจ่อย และนายหว่าง ถ้าหากมีการตั้งกล้องระดับสายตา วางกล้องอยู่บริเวณหลังบ้านพ่อแบม จะเห็นลักษณะคนเดินผ่านพุ่มไม้ แต่ถ้าหากไม่รู้จักหรือสังเกตรูปพรรณสันฐาน ก็จะมองหรือแยกไม่ออกว่าเป็นใคร เนื่องจากค่อนข้างไกลและตัวคนจะมีขนาดเล็ก
หลังจากที่ผ่านสวนมันของผู้ช่วยจอยแล้ว มาถึงบริเวณสวนมันของนายหว่าง จะเป็นอีกหนึ่งจุดที่พ่อแบมบอกกับทีมข่าวว่าช่วงเวลาประมาณ 09.10 น. ได้ยินเสียงคล้ายคนเคาะไม้ 3 ครั้ง เสียงเหมือนการตรอกหลักวัว-ควาย ซึ่งจุดที่ได้ยินเสียง อยู่ห่างจากกอไผ่เพียง 50 เมตร และห่างจากรอยเท้า 150 เมตร
เมื่อทีมข่าวเดินทางไปสิ้นสุดบริเวณกอไผ่ จุดที่มีชายปริศนาหายเข้าไป ตามข้อมูลของพ่อแบม ทีมข่าวได้หยุดเวลาทดสอบ พบว่าใช้เวลา 4.50 นาที รวมระยะทางเดินเท้า 200 เมตร แต่ถ้าหากมีการวิ่ง จะใช้เวลาที่น้อยกว่า 4 นาที
กรณีที่พ่อแบบให้ข้อมูลเจอชายปริศนา ถ้าเข้าไปในกอไผ่ ซึ่งเจอโพรงข้างใจที่สามารถเป็นหลบซ่อนตัวหรือซ่อมเด็กได้นั้น ช่างเบิร์ด บอกว่า ตนเองเห็นลักษณะโพรงดังกล่าวเชื่อว่าสามารถซ่อนตัวได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวัวควายก็ยังสามารถเข้าไปด้านในได้เหมือนกัน แต่ตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งที่นำไปซุกซ่อน จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือถูกผ้ามัดร่าง ไม่เช่นนั้นก็สามารถที่จะวิ่งออกไปได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่ใช่ทางตัน ประกอบกับถ้าหากมีการส่งเสียงร้อง ก็จะได้ยินเสียง แต่อาจจะไม่ค่อยดังเหมือนที่โล่งแจ้ง
นางดอน มะลิรส ชาวบ้านกกกอก บอกว่า ตนเองไม่รู้ว่าจุดดังกล่าวสามารถซ่อนตัวได้หรือไม่ แต่ดูจากลักษณะของกอไผ่แล้ว ไม่สามารถมองจากด้านนอกได้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน อาจซ่อนตัวหรือนอนอยู่ในนั้นเพื่อหลบบางอย่างได้ชั่วคราว แต่ในมุมหนึ่งถ้าหากนำเด็กเข้าไปนอนหรือซ่อนเอาไว้ ถ้าหากยังมีชีวิตหรือไม่ถูกมัดหรือปิดปาก ก็คงจะต้องร้องขอความช่วยเหลือ เว้นแต่ว่าสิ่งที่เอาไปทิ้งไว้ด้านในทั้งที่ไม่มีสติ หรืออยู่ในอาการสลบ ก็อาจจะช่วยเหลือตนเองหรือร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้
ยายจำลอง ชาวบ้านกกกอก บอกว่า ตนเองเคยไปที่กอไผ่ดังกล่าว ไปหาเห็ดและหน่อไม้บ่อยครั้ง ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่ใช่เรียกว่าโพรง แต่มันคือเนินดินที่ยุบตัวลงไป และมีลักษณะเหมือนใบไม้ปกคลุม จึงดูเหมือนลักษณะถ้ำหรือโพรงเท่านั้น แต่ถ้าหากจะมีอะไรไปซ่อนตัวอยู่ข้างในนั้น ตนเองว่าเป็นไปได้ยาก เพราะมันมีทางเข้าออก และไม่ใช่ทางตัน ดังนั้นหากอะไรเข้าไปหลบซ่อนอยู่ก็สามารถที่จะออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากมีการร้องตะโกนขอความช่วยเหลือก็เชื่อว่าต้องมีคนรู้เห็นด้วย