ยอมรับแบบตรงๆ ในรายการ ต้มยำอมรินทร์ สำหรับ "ชูษี เชิญยิ้ม" นักแสดงตลกชื่อดังว่าในอดีตช่วงที่คาเฟ่รุ่งเรือง ได้เงินเป็นกอบเป็นกำนั้น ตัวเองหลงมัวเมาในแสงสี จนแทบไม่มีเงินเก็บ มีเข้ามาก็ใช้ออกไป แต่ยังดีที่กลับตัวทันเพราะ "ลูก" พร้อมยังเล่าเรื่องราวก่อนจะมาเป็นนักแสดงตลกเต็มตัว เคยจับไมค์ร้องเพลงสู้ชีวิตมาก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "บิว กัลยาณี" ยอมรับ! ท้อหนักถึงขั้นอยากหันหลังให้วงการ เปิดใจสาเหตุไม่ออกเพลงใหม่
- "กิก ดนัย" ลั่น! ถอดเขี้ยวเล็บความเจ้าชู้แบบถาวร หลังเจอภรรยาปราบจนอยู่หมัด
- "เจนนิเฟอร์ คิ้ม" เปิดใจ ส่งเงินช่วยผู้มีพระคุณหลักแสน เผยขอเป็นล้านก็ให้ได้!
- "เจี๊ยบ วัชระ" รัดเข็มขัดสุดตัว! ตกงาน ไม่มีรายได้สักบาท ใช้เงินเก็บประทังชีวิต
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม ย้อนกลับไปก่อนที่จะเป็น "ชูษี เชิญยิ้ม" เข้าวงการด้วยการเป็นนักร้องลูกทุ่ง
ชูษี เชิญยิ้ม : ผมเข้ามาตั้งแต่ 2516 ออกจากจังหวัดลพบุรี ตอนนั้นเรียนอยู่ป.5 แล้วเข้ามากรุงเทพฯ เป็นนักร้อง แล้วเราได้รางวัล ได้เงิน เราก็เลยไม่เรียนแล้ว แล้วเราเป็นผู้ชายด้วย ไม่รู้ว่าหาเงินให้พ่อให้แม่ได้ยังไง ก็เลยตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาเป็นนักร้อง
ตอนนั้นเราเป็นนักร้องอัดแผ่นเลย แต่ก่อนที่เราจะได้ร้องเพลงอัดเสียง เราก็ทำงานให้เขาก่อน เช็ดถูบ้าน ให้อาหารนก ตอนนั้นที่เราอยู่แล้วก็ทำงานให้เขาเป็นหัวหน้าวงดนตรี ซึ่งดังมากเลยนะ สัญญา พรนารายณ์ ที่มีศิลปินดังในวงคือ สายัณห์ สัญญา แล้วก็น้ำอ้อย พรวิเชียร ซึ่งชื่อในวงการเพลงของเราตอนนั้น คือ ศักดิ์ศรี ศรีเมืองลพ
ถาม หลังจากที่เป็นนักร้องลูกทุ่งแล้ว กลายมาเป็นตลกชื่อดังได้ยังไง
ชูษี เชิญยิ้ม : จริงๆ เราไม่ได้เป็นคนตลกเลยนะ เป็นคนที่ขี้อายมาก แล้วเป็นคนที่ชอบตีกลอง ร้องเพลงมากแล้วจังหวะลมเพลมพัด ที่เราออกจากพรนารายณ์ แล้วไปอยู่ในวงของสายัณห์ สัญญา ตอนนั้นที่อยู่กับพี่เป้า อายุประมาณ 17-18 ปี ก็ร้องเพลง แล้วได้ตีกลองด้วย เพราะเราชอบเครื่องดนตรีที่เป็นจังหวะ ก็เลยได้ตี แล้วเวลาที่ไปคอนเสิร์ตลูกทุ่ง เขาก็จะมีตลกในวงของเขา เราก็ตีเวลาที่เขาเล่นมุกรับส่งกันเป็นปีๆ จนรู้จังหวะการรับส่งทั้งหมด จำทุกมุกที่เขาเล่นได้ แต่เราก็ยังไม่ได้ออกมาเล่นตลกนะครับ
แต่วันนั้นในวงมีตลกขาดคนหนึ่ง ตอนนั้นไปเล่นที่กระบี่ แล้วมีคนในวงป่วย เขาเลยให้เราไปเล่น เพราะจำได้หมดแล้วว่าเขารับส่งมุกอะไรกันบ้าง แต่วันนั้นพอได้ออกไปเล่น ตัวสั่นไปหมด เล่นไม่ได้ ล้มเหลวไป เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราจะเล่นตลก แล้วเราก็ยังคงไปต่อกับวงลูกทุ่ง แต่ก็ลมเพลมพัดอีก ได้เล่นอีก เราก็เล่นจนกลายเป็นความเคยชิน เราก็ฝึกเล่นตลกไปเรื่อยๆ
ถาม วง เชิญยิ้ม ชวนไปอยู่ด้วย แปลว่าตอนนั้นเราต้องเด่นมาก
ชูษี เชิญยิ้ม : มันจะมีแมวมองอย่าง หม่ำ ป๋าเทพ อย่างเชิญยิ้ม จะเป็นพี่โน๊ต พี่เป็ด พี่หนุ่ม เขาก็จ้องว่าคนนี้มันร้องเพลงดี ตลกค่อยมาปรับปรุงเอา แล้วจังหวะเรามาร้องกับพี่หนุ่ม แล้วพี่โน๊ตเขาเป็นคนที่ชอบเสียงเพลงอยู่แล้ว แล้วเวลาที่เราเล่นคาเฟ่ พวกผู้หญิงแม่ม่าย แม่ยก ก็มานั่งดู รางวัล มาลัยมาเพียบหมดเลย พี่เขาก็เลยจับตามองเรา แล้วก็ชวนเราไปร่วมวงด้วย
ถาม ก็เลยเป็นที่มาของ ชูษี เชิญยิ้ม
ชูษี เชิญยิ้ม : ใช่ครับ เพราะว่าถ้าใช้ชื่อว่าศักดิ์ศรี มันดุไปสำหรับตลก เพราะสมัยก่อนคณะพี่เด๋อ ดอกสะเดา พ่อป๋าต๊อก เขาอยู่ด้วยกับคณะนั้น เขาเลยคิดกันว่าคณะพี่เด๋อ มีป๋าต๊อก คณะเชิญยิ้ม ต้องมี ชูษี ก็ได้ชื่อนี้มาตั้งแต่นั้น (ชูษีคือนักแสดงตลกหญิงในตำนานของประเทศไทย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ เพราะแม่ชูษี เขาคู่กับป๋าต๊อกในสมัยนั้น) แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง แม่ชูษีก็มาที่คณะเชิญยิ้ม แล้วถามว่าคนไหนที่มันใช้ชื่อเขา เราก็ออกมาบอกว่าเราเอง เราไม่รู้ พี่โน้ตเขาตั้งให้ผม แต่ชื่อนี้ก็ทำให้เรามีชื่อเสียงมากๆ
ถาม ซึ่งก็ดังจริงๆ และดังขึ้นเรื่อยๆ ใครจะเชื่อว่ามีแฟนคลับเดินมาบอกว่าอยากได้รถคันไหน เดี๋ยวจะซื้อให้เลย
ชูษี เชิญยิ้ม : พูดไปก็เหมือนหล่อตายแล้ว ชูษี (หัวเราะ) เราก็ไม่ได้หล่อ แต่เราคงไปถูกชะตาเขา แล้วผู้หญิงคนนี้เขาเป็นคนไทยแต่เขามาจากต่างประเทศ ด้วยความที่เขาเสน่หาเรา แต่เราก็ไม่ได้เอาของของเขานะครับ
ถาม เพราะตอนนั้นที่ไม่รับทำงานต่อวัน เห็นว่าได้เยอะมาก
ชูษี เชิญยิ้ม : อยากจะบอกว่าตลกทุกคน ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าร้อยนึง จะมีประมาณเก้าสิบคนที่ทำตัวแบบผม ไม่เก็บเงินไม่เก็บทอง จะบอกว่าลืมตัว หลงระเริงเลยก็ว่าได้ แต่พอเฮียเลี้ยงเขาเสีย คาเฟ่ก็ค่อยๆ หายไป
ถาม แล้ว ณ วันนั้นที่คาเฟ่ค่อยๆ หายไป เรียกได้ว่าไม่มีเงินเก็บเลยไหม
ชูษี เชิญยิ้ม : ถามว่าเครียดไหม เราก็ไม่เคยเครียดนะ เพราะว่าเราเกิดมา ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีเนื้อที่ มีไร่ มีนาอะไร ชีวิตเกิดมาหากินไป ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้ต้องมีความสุข ช่างมัน อันนี้เป็นความคิดของเรานะครับ ตอนนั้นนะแต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าลูกเราจะทำยังไง เพราะเขายังเล็กอยู่ ถ้าเกิดเราตายไป เขาจะอยู่ยังไง เอาเงินที่ไหนใช้ แล้วพี่น้องก็ต่างคนต่างไปมีครอบครัวไปหมดแล้ว ตอนนี้เริ่มคิดได้ว่าเงินเริ่มหายากแล้วนะ เราไม่อยากใช้ฟุ่มเฟือยแล้ว
ถาม แล้วเราคิดบ้างไหม ถ้าเมื่อก่อนเราให้ภรรยาเป็นคนเก็บเงิน น่าจะเหลือกว่านี้
ชูษี เชิญยิ้ม : เราเป็นคนที่ใช้ผู้หญิงเปลืองมาก ไม่ใช่เราหล่อ เราเจ้าชู้นะ แต่ถ้าเราไม่พอใจเลิก เป็นคนที่ไม่กลัวเมียไง ไม่เหมือนพี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โน้ต เขากลัวเมีย เขาเลยเอาเงินให้เมียเขาเก็บ เขาเลยเหลือเยอะ ตอนนี้เราก็เลยมาค้นพบว่าถ้าเราให้เมียเก็บเงิน เราก็น่าจะมีเก็บเยอะแล้ว (หัวเราะ)
ถาม แต่วันนี้ยังดีที่มีงาน สองคือกลับมาเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวด้วย ทำอะไรเอ่ย
ชูษี เชิญยิ้ม : ให้แฟนทำแหนมไปขายร้านพี่โหน่งครับ วางที่ร้านบะหมี่โหน่ง ชื่อว่าแหนมชูษี แต่ถ้าใครอยากจะลองชิมลองทาน สั่งมาได้ที่เฟสบุ๊ค ชูษี เชิญยิ้ม แล้วตอนนี้ก็ทำช่องยูทูบ ชูษี เชิญยิ้ม มีผม พี่เด๋อ แล้วก็อ๊อด ฝากด้วยอีกหนึ่งช่องทางนะครับ