จากกรณีนายไชยพล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้แสดงอาการคุกคามสื่อมวลชน จนเกิดเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลุงพลหลังจากที่ถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จนั้น
วันที่ 6 ก.พ. 64 เวลา 09.00 น. ลุงพล ป้าแต๋น ทนายษิทรา และทนายรัชพล รวมถึงยูทูเบอร์กว่า 50 ชีวิต ได้รวมตัวกันที่สวนยางของนายแต เพื่อเดินขึ้นเขาภูเหล็กไฟ ไปยังจุดพบศพของน้องชมพู่ ซึ่งระหว่างทางก็มีการแวะพักเหนื่อยเป็นระยะ ๆ ต้องใช้เวลาในการเดิน ซึ่งระหว่างทาง ทนายตั้มก็ได้เดินผ่านพื้นที่ที่มีความชันสูง
ผู้สื่อข่าวถามว่าเคยขึ้นเขามาก่อนหรือไม่ ทนายษิทรา บอกว่า "ตนขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ไม่เคยขึ้นเขามาก่อน ส่วนข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้มันไร้สาระ อยากให้โฟกัสในประเด็นนี้ดีกว่า"
ทนายษิทรา บอกว่า ตนเชื่อว่าทางเดินที่มีความชันระดับนี้ 60 องศา เป็นเรื่องยากที่เด็กจะเดินขึ้นมาเองได้ แต่ก็คาดว่ายังมีอีกหลายเส้นทาง
เมื่อไปถึงจุดเจอรถแบ็กโฮของเล่น เพื่อดูจุดเชื่อมโยงเกี่ยวกับการขึ้นเขาของน้องชมพู่ ห่างจากจุดพบศพประมาณ 500 เมตร ลุงพล ทนายษิทรา และทนายรัชพล ได้นั่งพูดคุยกัน ทนายรัชพลให้ข้อคิดเห็นว่าถ้ามีคนนำน้องชมพู่ใส่ถุงและตายตั้งแต่แรก รถของเล่นคงไม่มาตกอยู่จุดนี้
ทนายษิทรา กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่อยากสันนิษฐานอะไร เพราะยังไม่รู้ผลตรวจ DNA และลายนิ้วมือ ที่เจ้าหน้าที่ตรวจ แต่ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าน้องชมพู่เสียชีวิตตั้งแต่ต้น คงจะไม่มีการนำรถแบ็กโฮมาด้วย จึงเป็นไปได้ว่าน้องชมพู่อาจจะเดินถือขึ้นมา หรือคนที่รู้จักอุ้มขึ้นมาพร้อมของเล่น ตอนนี้จะต้องรอความเห็นของเจ้าหน้าที่ด้วย
หลังจากนั้น ทีมทนายและลุงพลก็ได้เดินมุ่งไปต่อก่อนที่จะถึงจุดเจอศพ ทนายษิทรามีความเหน็ดเหนื่อย เดินกอดคอลุงพลไปด้วยกัน จากนั้นเดินไปสำรวจที่บริเวณจุดสำคัญ โดยที่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้คอยให้ข้อมูลอยู่ตลอด เดินไปยังจุดเจอกางเกง จุดเจอรองเท้า ซึ่งได้นำรองเท้าตั้งจำลองลักษณะการวางของรองเท้าน้องชมพู่ และได้เดินไปยังจุดที่พบศพ
ทีมข่าวสังเกตว่าในช่วงที่เดินไปยังจุดพบศพ มีเพียงนักข่าวและทนายที่เข้าไปดูที่ดังกล่าว ส่วนลุงพลยังคงเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งบริเวณดังกล่าวยังคงพบกล่องนมเปรี้ยวสีเขียวที่ตั้งอยู่ตั้งแต่ที่ทีมข่าวขึ้นไปพบ ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป
ซึ่งในช่วงที่อยู่ในบริเวณจุดพบศพ ก็มีบางช่วงที่ลุงพลและทนายษิทรา แยกไปยืนพูดคุยกันอยู่ 2 คน ห่างจากนักข่าว สังเกตว่าเป็นการยืนพูดคุยจริงจัง หลังจากนั้นก็เดินทางลงผ่านจุดพบแหวน ซึ่งมีความลาดชันน้อย เดินเป็นเวลา 2 ชั่วโมง เดินขึ้น 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนตอนเดินลงใช้เวลา 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งมีช่วงแวะพักเหนื่อย ลุงพลมีการร้องเพลงโชว์ลูกคอให้กลุ่มยูทูเบอร์ได้ถ่ายทอด
หลังจากที่ทีมทนายและลุงพลได้เดินไปถึงจุดพบศพ ก็ได้ร่วมนั่งแถลง ทนายษิทรา เปิดเผยว่า วันนี้ตนตั้งใจเดินมาพิสูจน์เส้นทางบนภูเหล็กไฟ เพราะไม่อยากเชื่อคำพูดที่เล่ากันว่าเด็กเดินขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งแม้ว่าลุงพลจะพูดย้ำกับตนหลายครั้งว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นมาตายเองได้ แต่ตนก็ยังอยากขึ้นมาเห็นกับตาตัวเอง สำหรับการเดินวันนี้ เส้นทางที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้พาขึ้นมา น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นมาเองได้เลย
ทนายษิทรา กล่าวต่อว่า เส้นทางที่เดินในวันนี้ประมาณ 4 ชั้น ซึ่งตนมีความรู้สึกว่าช่วงที่เดินถึงชั้นที่ 2 แล 3 ก็มีความลำบากแล้ว แต่ชั้นที่ 4 เด็กแทบจะไม่มีวันที่จะขึ้นมาเองได้ ถ้าจะมีคนอุ้มเด็กขึ้นมาคนเดียว ก็ต้องมีความลำบากมาก ๆ และในส่วนของรถแบ็กโฮของเล่น ถ้ามีการตรวจและเจอ DNA ก็คงจะมีประโยชน์ และหลังจากนี้จะรับทำคดีหรือไม่ตนต้องพูดคุยกับพยานก่อน รวมถึงพ่อแม่ของน้องชมพู่ด้วย
ด้านลุงพล เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ทีมทนายได้เดินมายังจุดพบศพ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง เมื่อผู้สื่อข่าวถามลุงพลว่า "รู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นจุดเจอศพน้องชมพู่ เพราะระหว่างนั้นลุงพลไม่ได้เดินเข้าใกล้จุดพบศพ" ลุงพลก็นิ่งไปและจะร้องไห้ บอกว่า ตนเป็นญาติคนแรกที่เจอศพน้องชมพู่ เพราะคนที่เจอเป็นคนแรกจริง ๆ นั้นเป็นชาวบ้านอีกคน แต่ก็ต้องให้ทีมทนายหาคำตอบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า "รู้สึกอย่างไร" ลุงพลบอกว่า "ผมไม่ขอพูดดีกว่า" หลังจากนั้นลุงพลก็ร้องไห้ ใช้เสื้อเช็ดน้ำตา
ด้านพรานชะเวลอง นายพรานที่พาลุงพลและพวก 5 คนขึ้นเขา ระบุว่าเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 64 ที่มีการขึ้นเขาไปด้วยกันนั้น ลุงพลผ่านจุดที่พบศพน้องชมพู่ แต่ไม่เห็นว่าลุงพลร้องไห้แต่อย่างใด ต่างจากวันที่นี้ขึ้นเขาพร้อมกับสื่อ ลุงพลร่ำไห้
นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เปิดเผยว่า สำหรับการเดินสำรวจเส้นทางในวันนี้ สภาพภูมิประเทศค่อนข้างแตกต่างจากการที่ตนเดินขึ้นมาสำรวจในครั้งก่อน รวมถึงอากาศมีความเย็นกว่าในช่วงเกิดเหตุ เพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว จึงทำให้ได้ขึ้นได้ง่ายกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนบริเวณจุดพบศพ และจุดที่เจอหลักฐานต่าง ๆ ก็ค่อนข้างเลือนลางมาก เพราะช่วงที่ตนเดินขึ้นเขานั้นร่องรอยต่าง ๆ ยังมีความชัดเจนมากกว่านี้ เพราะตอนนั้นยังเหลือของเซ่นไหว้ และมองชัดว่าจุดดังกล่าวเป็นจุดเจอศพ แต่ตอนนี้ป่าก็เริ่มรกขึ้น
ทนายรัชพล กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปตายเองได้ เพราะตนก็เคยบอกไปแล้วว่าก้อนหินบางก้อนค่อนข้างชัน ถ้าจะขึ้นก็ต้องคลาน อย่างไรก็ตาม คดีน้องชมพู่นั้นจะมีทนายษิทราเป็นผู้ดูแล ส่วนตนจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในบางเรื่องเท่านั้น ส่วนคดีครอบครองไม้ก็มีทนายสมเกียรติดูแลแล้ว
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เปิดเผยว่า ตนเคยตั้งข้อกำหนดไว้ 3 ข้อ ถึงจะตัดสินใจรับคดี คือ 1.ต้องได้คุยกับลุงพลป้าแต๋น ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย 2.เดินขึ้นไปเห็นจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ 3.ต้องได้พูดคุยกับพยานในคดี ซึ่งตอนนี้ได้ทำบรรลุไป 2 ข้อแล้ว คือข้อ 1 และ 2 ซึ่งถือว่าคืบหน้าไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เหลือแต่ไปพูดคุยกับพยานคนอื่น เกี่ยวกับไทม์ไลน์ในช่วงที่น้องชมพู่หายตัวไป จึงจะตัดสินใจได้ว่าจะรับทำคดีนี้หรือไม่ และตนอยากจะพูดคุยกับพ่อแม่น้องชมพู่ด้วย แต่ถ้าเขาไม่คุย ตนก็คงจะต้องไปดูคลิปเก่าที่เขาให้สัมภาษณ์เพื่อหาข้อมูล
สำหรับการเดินขึ้นภูเหล็กไฟในวันนี้ก็ไม่เหนื่อยเท่าไรนักเพราะอากาศไม่ร้อน แต่ตนทราบจากลุงพลว่าในช่วงที่น้องชมพู่หายไปนั้น อุณหภูมิสูงถึง 42 องศาเซลเซียส ส่วนภูมิประเทศค่อนข้างที่จะมีความชัน จึงเชื่อว่าเด็กไม่สามารถขึ้นด้วยตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ยืนยันว่าจะรับทำคดีหรือไม่ แต่ขอตรวจสอบข้อมูลให้ครบมากกว่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ
โดยหลังจากให้สัมภาษณ์ทนายษิทราก็ได้เดินทางกลับ จ.อุดรธานี
ทีมข่าวสอบถามนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เกี่ยวกับกรณีทนายษิทราจะมาพูดคุยด้วย ซึ่งแม่ของน้องชมพู่ให้ข้อมูลว่า "ถ้าแขกมาที่บ้าน ตนก็พร้อมยินดีต้อนรับ ถ้าทนายษิทรามาที่บ้านก็ต้อนรับในฐานะแขก คงไม่พูดคุยเรื่องคดี"
Advertisement