เป็นนักแสดงมากฝีมือที่เล่นละครมาแล้วแทบทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นบทนางเอกใสซื่อไปจนถึงบทนางร้ายที่พาลให้คนเกลียดกันทั้งประเทศ สำหรับ "ต่อง สาวิตรี" ที่ล่าสุดได้มาย้อนเส้นทางในวงการบันเทิงในรายการ ต้มยำอมรินทร์ เปิดเหตุผลเข้ามาในวงการเพราะความจน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่กล้าแสดงออก ไม่คิดจะเข้าวงการ แต่นับเป็นโชคดีของตัวเองที่ได้เข้ามาอยู่ในวงการนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดชีวิตพ่อลูกอ่อน "อ้วน รังสิต" ทะเลาะกับภรรยาหนักมากเรื่องเลี้ยงลูก!
- "โย ยศวดี" อัปเดตสถานะหัวใจสีชมพูขั้นสุด เผยรักครั้งนี้มีลุ้นถึงแต่งงาน!
- "หมอช้าง" เผยเคล็ดลับรับความเฮง ห้าทุ่มคืนนี้ ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิงเอี๊ย"
- "เอิ้นขวัญ วรัญญา" เผยสถานะหัวใจสีชมพู แต่ไม่ลงรูป เพราะชอบโดนทักว่าน้องชายเหรอ?
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม อยู่ในวงการมากี่ปี
ต่อง สาวิตรี : 30 ปีค่ะ ตอนนั้นเข้าสู่วงการบันเทิงได้เพราะว่าอาแอ๊ด สมบัติมาชวน แต่เริ่มแรกจริงๆ เราไปถ่ายโฆษณาตั้งแต่อายุ 16 เป็นนางแบบโฆษณาผลงานชิ้นแรกคือน้ำยาล้างตา ตอนแรกที่เราไปถ่ายเรานึกว่ายากแน่ๆ เบื้องหลังคือยิ้ม ตาห้ามหยี ปากห้ามยิ้ม ถ่ายตั้งแต่เช้าถึงสามโมงเย็น ตอนนั้นเราอยากกลับบ้านมาก เพราะเราทำไม่ได้ เขาอยากให้เรามีแต่อินเนอร์ ปากไม่ต้องยิ้ม เอาแต่ตายิ้ม แล้วคิดดูเด็กอายุ 16 จะทำได้ไหม แต่สุดท้ายเขาก็ทำจนได้ กองเขาเก่งมาก ซึ่งช่วงแรกก็ถ่ายโฆษณาอยู่เยอะมากช่วงที่เรามาเข้าวงการบันเทิงคือ 19
ถาม เป็นความใฝ่ฝันของเราหรือเปล่า ในการเข้าสู่ในวงการ
ต่อง สาวิตรี : ไม่เลยค่ะ เพราะว่าเราเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า ไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วพี่เป็นเด็กหลังห้อง แต่ที่เข้ามาในวงการเพราะคำนี้คำเดียวเลยค่ะ จน พอเราเข้ามาทำงานตรงนี้แล้วเราได้เงิน ช่วงนั้นคุณพ่อเกษียณด้วย คุณแม่เป็นแม่ค้า แล้วตอนนั้นเราเรียนแค่มัธยมปลายเองค่ะ แล้วเรามีพี่น้องเยอะ การถ่ายโฆษณาก็ไม่เลวร้ายแล้วได้เงินเยอะ เราก็แบ่งเงินตรงนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ ให้ตัวเอง ส่งน้องเรียนด้วย เราก็ทำมาเรื่อยๆ แต่พอเข้าวงการ เรารู้สึกว่าไม่ใช่เลย การแสดงละครเหมือนละครเวที ถ้าไม่โดนบังคับจริงๆ เราไม่ขึ้นไปแสดงแน่นอน อย่างแสดงรำ แสดงเต้น ทุกงานที่เราขึ้นไปแสดง หน้าเราจะคว่ำมาก ไม่มีรูปยิ้มเลย เพราะว่าอาย ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราคือคนที่ทำตามได้เวลาครูสอน ให้เต้นเท้าซ้าย เท้าขวา เราทำตามได้หมด แต่หน้าเราไม่ยิ้มนะ แล้วเราตัวเตี้ยต้องยืนอยู่แถวหน้า แล้วเวลาเราถ่ายรูปคือหน้าเราไม่ยิ้มเลย
ถาม แต่สุดท้ายคนที่ไม่ชอบการแสดง คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มาอยู่หน้าจอเลย
ต่อง สาวิตรี : ร้องไห้แล้วหัวเราะทำได้ยังไง เราไม่มีทางทำได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือพ่อของเราไม่ชอบ เพราะเขารู้สึกว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน มันก็เป็นความรู้สึกของคนสมัยก่อนนะคะ พอมาทำ เราก็คิดว่าคงเล่นเรื่องเดียวนะคะ ที่เล่นเรื่องนี้เพราะว่าเราปลื้มอาแอ๊ด สมบัติ เขาเป็นนักกีฬา เราเลยยอมเล่น เขาเป็นไอดอล มีกล้ามเนื้อ เพราะเราเป็นผู้หญิงยุคนั้นที่มีกล้ามเนื้อ แต่ไม่มีคนชอบ ให้เราหยุดออกกำลังกาย เล่นกีฬาทุกอย่าง เพราะทำให้ไม่สวย ตัวดำ แล้วมีกล้ามเป็นมัดๆ เขาไม่ชอบ พอเราได้เข้ามาเล่นเรื่องแรกคือ เป็นนางเอกและเป็นฝาแฝดเลยค่ะ เรื่องรักจั๊กจี้ เป็นสาวแก่นๆ ทอมๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ อีกคนหนึ่งก็ม้วนผมเป็นคุณครู ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนัง พอเราเข้าไปแสดงวันแรกเราก็มีความรู้สึกว่าผ่านด้วยเหรอ แล้วพอเรามาถ่ายวันสุดท้ายของการถ่ายทำ ทำไมเหมือนกับวันที่แรกถ่ายวันแรก คือเขาเอาวันแรกมาถ่ายใหม่ เพราะว่าวันแรกถ้าเขาบอกว่าไม่ได้ เราคงไม่เล่น เขาเลยปล่อยให้ผ่านไป เหมือนเป็นการซ้อม ผู้ใหญ่ทั้งหมดก็ต้องมาถ่ายกับเราใหม่หมดเลย แต่เป็นเทคนิคที่ดีนะคะ ทำให้เรามีความมั่นใจว่าเราทำได้ ซึ่งพอเวลาที่เราทำไม่ได้เวลาแสดงมองค้อนก็ไม่เป็น มี๊ พิศมัย วิไลศักดิ์ ต้องสอนเรามอง แบบสามร้อยหกสิบองศาเลย เราจะไปหาผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ในกองให้เขาสอน ซึ่งเราเติบโตและมีประสบการณ์ได้ เรียนรู้จากผู้ใหญ่ทั้งหมดเลย เราถามทุกคน
ถาม แต่ที่สำคัญ บทบาทที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักต่อง สาวิตรีคือจำเลยรัก
ต่อง สาวิตรี : เรื่องนี้เราต้องเดินให้เป็นผู้หญิงเรียบร้อยและทำให้ดูตัวเล็ก น่ารังแก เพราะว่าเรามีรูปร่างที่แข็งแรงกว่าพี่สาว ต้องคัดตั้งแต่ท่าเดิน วิธีการเดินให้ดูน่ารังแก เป็นเรื่องแรกที่เรียบร้อยในชีวิตการแสดงเลยค่ะ เรื่องนั้น
ถาม แล้วบทร้องไห้ทำยังไง
ต่อง สาวิตรี : ตอนแรกก็ยังร้องไห้ไม่ได้ แต่บังเอิญคนที่เล่นเป็นแม่เรา ต้องกราบขอบพระคุณเลย คุณรัชนี จันทรังษี เรารู้จักเขาเสียงเขา ตั้งแต่ยายเราฟังนิยาย เขาเล่นเป็นแม่ของเรา ในเรื่องเสียงของเขาทำให้เราร้องไห้ เสียงเขาทำให้เราเศร้ามาก แต่ที่ทำให้เราร้องไห้จริงๆ เลย คือเราเข้าไปห้องหนึ่งเหมือนเป็นห้องเชือดเพราะจะถูกถ่ายเจาะ เป็นห้องที่ทำให้ร้องไห้ แล้วสมัยก่อนคือเขาวิ่งถ่ายกันหลายเรื่อง แล้วในเรื่องนี้มีฉากร้องไห้เยอะมาก ผู้ใหญ่ทุกคนก็มานั่งรอเราให้เราร้องไห้ เราก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้ทุกคนรอเรา เราก็เลยเริ่มร้องไห้ได้จากเรื่องนั้น
ถาม จากคนที่แสดงอะไรไม่เป็นเลย ตอนนี้กลับกลายมาเป็นนักแสดงเจ้าบทบาท เพราะการพลิกบทบาทหลายเรื่อง
ต่อง สาวิตรี : เริ่มเรื่องแรก จำเลยรัก ดราม่าเรื่องแรกคนชอบเลย แล้วเราหยุดไป 12 ปี ไปเป็นพิธีกร แล้วกลับมาเล่นละครอีกครั้ง ก็คุยกันอยู่นาน จะเล่นได้ไหม พอมาเล่นแรงเงาเป็น นพนภา ร้ายมาก เราไม่เคยเล่นมากก่อนเลย แล้วคนก็ชอบมาก เราก็เล่นตามที่เขาบอกคนเขียนบทเขียนได้แซ่บมาก แล้วผู้กำกับก็ทอนลงด้วยเพราะว่าคำสมัยก่อนคือมันแรงมากในบทที่เขาเขียนมา แล้วคือบทมันส์มาก เราก็เล่นตามที่เขากำกับค่ะ เรายังบอกเขาเลยว่าถ้าเล่นไม่ดี เปลี่ยนตัวได้นะ เพราะว่าเราหยุดไปนานมาก เรากลัวท่องบทไม่ได้ ร้องไห้ไม่ได้ เรากลัวทำอะไรไม่ได้เลย แต่พอได้เล่นแล้วคนชอบ เล่นร้ายแล้วดี (หัวเราะ) เราคิดว่าที่เราทำได้ดีเพราะเป็นสิ่งที่ในชีวิตจริงของเราไม่ได้ทำ ไม่มีโอกาสทำด้วย เพราะเราไม่ชอบทะเลาะกับคน โกรธคือเงียบ แต่ในละครโกรธคือใส่
ถาม คนจำบทบาทไม่ใช่แค่คนดูเท่านั้นนะคะ แต่เด็กในกอง นักแสดงในกองคือกลัว พี่ต่อง กันหมด
ต่อง สาวิตรี : บางคนเขาน่าจะเห็นเราจากละคร เราจะเปิดตัวกับทุกคนเลยนะคะว่าอย่ากลัวพี่ พี่นั่งเฉยๆ หน้าพี่อาจจะดุ แต่จริงๆ แล้วพี่เป็นคนตลกนะคะ น้องบางคนไม่ค่อยเชื่อ อยู่ไปสักพักถึงจะรู้ ตัวจริงของเราเป็นคนเฮฮา สนุก แต่ต้องสนิทไง แต่เพราะเราเป็นคนหน้าเข้มๆ แบบนี้เลย เหมือนพร้อมดุ แต่จริงๆ พี่เป็นคนตลกค่ะ
ถาม แต่เห็นเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ของวงการ แต่พี่ต่องเป็นคนที่ไฮเทคมากๆ ทันสมัย มีทุกโซเชียล จนต้องเรียกว่า ต่อง 5G
ต่อง สาวิตรี : จุดเริ่มต้นจากความขี้เกียจ แล้วเราเป็นสาวกของสตีฟ จ็อบส์รุ่นแรก เราเห็นคู่มือเยอะมากจัง เราเลยเข้าไปดูทุกแอป มันก็เริ่มจากการได้ลองเล่น เพราะเราเล่นทุกแอปที่มากับเครื่อง เราจะได้ไม่ต้องอ่านคู่มือ แล้วที่ดีมากที่มี Google สามารถบอกเราได้หมดเลย พิมพ์อะไรไปก็เจอ
ถาม และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ พี่ต่องคือสาวสายวายตัวยง
ต่อง สาวิตรี : รู้จักซีรีส์วายมาตั้งแต่เรื่องแรก เรื่อง Love Sick ช่วงแรกเราก็ยังไม่ได้สนใจอะไรมากมาย จนเมื่อปีที่แล้ว เรามาติดซีรีส์วายเรื่อง SOTUS เราก็ติดมาก จนเข้าไปดูใน Google แล้วเจอ 10 ซีรีส์วายที่ทุกคนต้องดู เราก็ไล่ดูทั้งหมดเลยช่วงโควิด ตอนนี้ชอบ ไบร์ท-วิน มากที่สุด เพราะว่าเขาเล่นเข้ากันดี แล้วน้องไบร์ทมีประสบการอยู่ในวงการ 7 ปี แล้วน้องวินที่เป็นนายเอก เขาเพิ่งเล่นเรื่องแรก เราก็รู้สึกว่าถ้าน้องจะเล่นเรื่องแรกได้ดีขนาดนี้ พี่ก็ต้องปรบมือให้น้อง การดูซีรีส์วาย เราดูแล้วอมยิ้ม
ถาม อินทุกอย่างในวงการบันเทิงแบบนี้ แล้วมองตัวเองในวงการบันเทิงอย่างไรต่อไป
ต่อง สาวิตรี : จริงๆ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะอยู่ได้ถึงทุกวันนี้เลย ตอนแรกที่เราเข้ามา เราก็มองว่าศักยภาพอย่างตัวเราไม่น่ารอด น่าจะอยู่ได้ไม่นาน ตอนถ่ายโฆษณาก็ไม่ได้คิดว่าจะมีงาน พอเข้ามาในวงการแล้ว จากที่เราไม่ชอบ ตอนนี้คือสิ่งที่เรารัก และเราก็รักทุกงานที่เราทำมาถึงทุกวันนี้ ต้องขอบคุณวงการนี้มากๆ อาชีพนี้ทำให้เรามีทุกวันนี้ ทำให้ครอบครัวของเรารอดและยังสามารถทำงานมาถึงทุกวันนี้ เรากำหนดไม่ได้ว่าในอนาคตเราจะเป็นยังไง เพราะคนที่กำหนดคือคนที่จ้างเรา เราไม่ใช่คนเลือก แต่เราคือคนที่ถูกเลือก ถ้าเขาคิดว่าเราเหมาะกับบทละครของเขา เขาก็จะเลือกเราไปเล่น ถ้าเขาไม่เลือกเราแล้วก็คือว่าที่เราต้องยุติหน้าที่ของการเป็นนักแสดง
Advertisement