จากกรณีชาวเน็ตได้แชร์คลิปหญิงสาวคนหนึ่งถือทะเบียนสมรสบุกงานแต่งสามีตัวเอง ที่อยู่กันมา 16 ปี แต่ไปแต่งงานใหม่กับหญิงอีกคน โดยที่ยังไม่ได้หย่าขาดกัน ซึ่งล่าสุดฝ่ายภรรยาหลวง ได้ปรึกษาทนายเพื่อยื่นฟ้องหญิงที่แต่งงานซ้อนแล้ว 3 แสนบาท ด้านฝ่ายชายเปิดใจว่า "ขออยู่ตรงกลาง" ไม่ขอเลือกใครสักคน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เมียหลวงยืนหนึ่งซึ้งแม่ผัวพาลุย ฟ้องเจ้าสาว 3 แสนเหตุรู้คบซ้อน เผยอดีตหวิดดับผัวขับรถบี้ (คลิป)
- เจ้าบ่าวแต่งซ้อนขอรับผิดคนเดียวป้องสาวไม่รู้ พ่อฉะขาดจริยธรรม จ่อถูกฟันวินัยขัง 30 วัน (คลิป)
- พระชื่นชมแม่ผัวแห่งชาติตบลูกเรียกสติ แจงไม่หยุดสวดหวั่นพิธีล่ม อึ้งเจ้าสาวน้ำตาไหลรับพร (คลิป)
- ทัวร์ลง! เจ้าสาวเบอร์ 2 ตกงานพ่วงโดนคดี ญาติจี้เขยตำรวจโชว์สปิริตรับผิดชอบ (คลิป)
- เปิดใจแม่ผัวแห่งชาติ ตบลูกชายแต่งงานซ้อนยุฟ้อง - เมียช้ำถูกเย้ยน้ำพริกถ้วยใหม่ (คลิป)
วันที่ 20 ก.พ. 64 นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ขอนแก่น และนายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กล่าวถึง กรณีนี้ว่า ส่วนตัวตนเองมองว่าถือเป็นภาพสะท้อนสังคมที่ดีเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว "การแต่งงาน ต้องมีแค่ผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเรื่องนี้สรุปได้ว่า ฝ่ายชายไม่ซื่อสัตย์ ถ้าซื่อสัตย์ก็คงไม่มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น"
อีกอย่างสังคมไทย เป็นสังคมที่ผู้ชายไทยทำอะไรได้หลายอย่างที่จะนอกใจ เคสนี้คือฝ่ายชายบอกกับภรรยาหลวงว่าจะไปเข้าเวร แต่กลับไปจัดงานแต่งงาน ส่วนตัวตนมองว่าฝ่ายชายไม่ซื่อสัตย์ คบหากันมาถึง 16 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คนที่กำลังเป็นวัยรุ่น คนโตอายุ 15 ปีแล้ว ส่วนอีกคน 5 ขวบ ตนห่วงว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะกระทบมาถึงลูก มองว่าเป็นความเห็นแกตัวของผู้ใหญ่ ที่ไม่นึกถึงลูก
ตนเองในฐานะนายกสมาคมครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข สโลแกนและนโยบายของสมาคมคือ "ผัวเดียวเมียเดียว" ถ้าครอบครัวไหนมีผัวเดียวเมียเดียว ครอบครัวเป็นสุขและอบอุ่นแน่นอน ทำให้ลูกซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจหรือโซ่ทองคล้องใจของพ่อแม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่ด้วยความอบอุ่น จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคมต่อไป
ทั้งนี้ ผู้หญิง 2 คนมีสามีคนเดียวกัน มุมมองผู้หญิงไม่ว่าใครมาก่อนหรือหลังก็รักสามี เพราะผู้หญิงเราได้ใครเป็นผัว ก็จะรักทุกคน ไม่ว่าจะมาก่อนหลัง ทะเบียนสมรสก็ไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นอีกสิ่งที่สำคัญและทำได้คือ ฝ่ายชายซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจจะต้องถูกลงโทษ เพราะการประพฤตินอกใจ ถือว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ให้ออกจากราชการ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้บังคับบัญชาจะเอื้อให้กันหรือไม่ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ผู้ชายเป็นใหญ่
ส่วนฝ่ายภรรยาที่ต้องเป็นเมียหลวงโดยปริยายจะต้องตั้งสติให้ดี ดูแลลูกทั้ง 2 คนไปอย่างดี เพื่อให้ได้รับความอบอุ่นและการศึกษาที่ดี มีแม่สามีเป็นกำลังหลัก แม่สามีดีต่อลูกสะใภ้มาก แต่สุดท้ายก็อาจต้องให้โอกาสพ่อของลูกได้ทำหน้าที่ด้วย
ทั้งนี้ ฝ่ายภรรยาอีกคนที่มาที่หลังก็ต้องยอมรับสภาพ หากฝ่ายเมียหลวงจะฟ้อง และพ้นสภาพจากการทำงานไป เพราะสังคมรับไม่ได้ ส่วนที่พ่อของฝ่ายหญิงที่มาที่หลังบอกจะฟ้องว่าฝ่ายภรรยาหลวงและแม่สามีฐานบุกรุกบ้าน ตนมองว่าต้องนึกถึงหัวอกว่า หากเป็นลูกตัวเองถูกแย่งผัวไปแต่งงานแบบนี้จะทำอย่างไร ถ้าเป็นตนคงไม่เหลือ คงพังงานแต่งงานไปแล้ว
แต่เรื่องนี้ ตนเองขอชมเชยภรรยาหลวง ทำใจได้ดี เพราะคงรู้พฤติกรรมของสามีมาพอสมควรแล้ว ส่วนแม่สามีที่รับไม่ได้กับสิ่งที่ลูกตัวเองทำถึงขั้นไปตบตีลูกต่อหน้าพระที่กำลังสวดเจริญพุทธมนต์อยู่ คงทนไม่ไหวแล้ว แต่ลูกชายและเจ้าสาวก็นั่งเฉยฟังพระต่อ "ตนอายพระสงฆ์จังเลย ที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเฉยได้ขนาดนี้ โลกีวิสัยมนุษย์แย่มาก ขอผู้ชายไทยอย่าเอาเป็นตัวอย่าง"
สุดท้ายแล้ว นางระเบียบรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ผู้ชายไทยขออย่าเอาตำรวจนายนี้เป็นเยี่ยงอย่าง อย่าชุ่ย อย่ามักง่าย อย่าประพฤตินอกใจ ถ้ามีความซื่อสัตย์ มันคือเซฟทีคัตที่จะตัดเรื่องเหล่านี้ออกจากครอบครัว ก็จะไม่มีใครทุกข์ ผู้หญิงสองคนก็ไม่ต้องมานั่งแย่งผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบกันแบบนี้
นางนิภาพรรณ หรือ จอย อายุ 33 ปี ภรรยาหลวง กล่าวว่า วันนี้ตนค่อยข้างเหนื่อย เพราะแวะไปวัด ขอขมาพระที่สวดในงานแต่งงานมา ซึ่งพระใจดีมีเมตตากับตนมาก ให้คำสอนเตือนสติ ส่วนกรณีเฟซบุ๊กของเจ้าสาวโพสต์ภาพน้ำพริกเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 64 ก่อนที่จะแต่งงานกับฝ่ายชาย พร้อมระบุแคปชั่นว่า "อยากกินต้องได้กิน..." ซึ่งไม่รู้ว่าจะสื่อถึงอะไร และตนไม่เคยเห็นโพสต์นั้น ตนไม่ได้ไปได้ส่องเฟซบุ๊กเจ้าสาว มีแต่เพื่อนตนเข้าไปดู
ส่วนที่มีกระแสสังคมออนไลน์ว่าฝ่ายเจ้าสาวไม่รู้ว่าสามีตนมีภรรยาแล้ว มองว่ามันขัดกับความเป็นจริง ไหนจะที่โพสต์คล้ายเหน็บตนเรื่องน้ำพริกอีก มันขัดกันไปหมด ส่วนฝ่ายญาติเจ้าสาว ตนก็ไม่รู้ว่ารู้เรื่องฝ่ายสามีตนมีเมียอยู่แล้วไหม แต่วันงานแต่งที่ตนเข้าไป ไม่มีใครตกใจแม้แต่นิดเดียว จากที่ตนเอาทะเบียนสมรสไปชี้แจง คิดว่าต้องมีท่าทีตกใจกันบ้างหรือยุติงานไปก่อน แต่กลับเดินงานไปต่อได้ ตนยืนยันว่าที่ผ่านมาฝ่ายเจ้าสาวรู้มาโดยตลอด เพราะช่วงเมษายน 2563 ตนให้ทนายทำหนังสือเตือนฝ่ายเจ้าสาวไปแล้วครั้งหนึ่ง ให้เลิกพฤติกรรมแย่งสามีตน คิดว่าฝ่ายนั้นจะหยุดแล้ว จนเหตุการณ์มาถึงงานแต่งงาน 18 ก.พ. 64
ส่วนที่จะให้อภัยสามีตนไหม หากสามีกลับตัว ตนยังตอบไม่ได้ ยังตกใจและช็อก แต่ยอมรับว่าตนคาดหวังว่าเข้าไปในงานแล้วไม่ใช่สามีตน แต่กลับใช่ และที่แย่ไปกว่านั้นสามีทำเป็นไม่รู้จักตน และยังบอกว่าพวกตนไม่ใช่แขก ให้ออกไปก่อน ส่วนสิ่งที่สามีและฝ่ายเจ้าสาวได้รับผลกระทบ ตนไม่ซ้ำเติม ตนเชื่อผลของเวรกรรมจริง ๆ ใครทำอะไรได้อย่างนั้น แล้วแต่ผลกรรมที่ใครก่อไว้
ขณะนี้กำลังใจตนดีมาก ขอบคุณทุกคนที่ส่งกำลังใจให้ตนมาอย่างล้นหลาม ทำให้ตนรู้สึกว่าไม่ได้สู้อยู่คนเดียว จากนี้ตนก็จะดูแลลูกตนให้ดีที่สุด ยืนยันว่าจะไม่หย่าอยู่แล้ว เพราะตนมีลูกกับสามี 2 คน ที่สำคัญตนตั้งใจฟ้องฝ่ายหญิงอยู่แล้ว ต้องขอบคุณแม่สามีที่เป็นเหมือนแม่คนที่สองของตน รวมทั้งพ่อสามีและครอบครัวสามีด้วย ตนโชคดีจริง ๆ ที่ทั้งพ่อและแม่สามีรักตนเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ
ส่วนที่คลินิกศัลยกรรม หลายคลินิกติดต่อตนเข้ามา ตนขอบคุณมากที่หวังดีเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน ตนตื่นตันใจ สุดท้ายตนขอออยู่อย่างสงบ ให้เรื่องราวมันผ่านไป