บุกกระทืบไอ้หื่นขับรถชนเด็กลากข่มขืนเหยื่อกัดหน้าสู้จนตาย เมียช็อกผัวดีทำเลว (คลิป)

หลังจากที่มีการจับกุมคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุฆ่านางสาวนิหน่า อายุ 15 ปี ผู้เสียชีวิต บริเวณร่องคูน้ำบริเวณกลาง บนถนนเอเชีย ในพื้นที่ หมู่ 5 ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 เวลาประมาณ 00.30 น.

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 1 มี.ค. 64 ที่ ตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ 9 และพล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.สส.ภ.9 พร้อมคณะ แถลงการณ์จับกุมนายประถม เอียดขาว หรือ บังหมัด อายุ 49 ปี ในคดีฆ่าตกรรมอำพราง ข่มขืนแล้วฆ่าชิงทรัพย์

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ บริเวณร่องคูน้ำบริเวณกลาง ถนนสายเอเชีย ท่ามกลางชาวบ้านต่างมายืนมุงดูทั้ง 2 ฝั่งถนน ผู้สื่อข่าวถามว่าสำนึกผิดหรือไม่ ผู้ต้องหาตอบว่า "ครับ สำนึกผิดแล้วครับ" แต่ไม่ได้พูดขอโทษ และไม่ตอบคำถามอื่น

จากนั้นนำตัวนายประถม ผู้ต้องหาลงมาที่แรกบริเวณบนรถเก๋ง ซึ่งเป็นยานพาหนะที่เฉี่ยวรถมอเตอร์ไซค์ของนางสาวนิหน่า ผู้เสียชีวิต ลงข้างทาง แล้วก็ลงไปพยายามอนาจาร จากนั้นชกไปที่ท้องของนางสาวนิหน่า ผู้เสียชีวิต แล้วทำการอนาจาร

หลังจากเสร็จกิจได้ทำการใช้เสื้อแจ็กเก็ตมีฮูดของผู้เสียชีวิตเช็ดคราบเปื้อน แล้วใช้เหล็กขันเปลี่ยนล้อรถฟาดไปที่หน้าของนางสาวนิหน่า ผู้เสียชีวิต จนแน่นิ่ง แล้วนำรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตายทับร่างไว้ ให้เหมือนกับว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วนำกระเป๋าพร้อมเงินสด 1,300 บาทของผู้เสียชีวิตไปด้วย

จากนั้น เจ้าหน้าที่กำลังนำตัวผู้ต้องหาไปขึ้นรถตู้ มีชาวบ้านและญาติผู้เสียชีวิตกรูเข้ามาเพื่อที่จะรุมประชาทัณฑ์ จนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น โดยเจ้าหน้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พยายามกันผู้คน และระงับเหตุในที่เกิดเหตุ ท่ามกลางเสียงด่าแช่ง และร้องให้มีโทษประหารชีวิต

พล.ต.ท.รณศิลป์ เปิดเผยว่า เจ้าที่ตำรวจมีการสืบสวนจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ โดยคนร้ายใช้ยานพาหนะ เป็นรถเก๋งโตโยต้าโคโรล่า สีเทา ทะเบียน กง 856 จ.ประจวบคีรีขันธ์

โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนที่หาดใหญ่ กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านที่ จ.พัทลุง จึงได้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน จากนั้นก็มีการขับรถออกจากปั๊ม แล้วเห็นผู้เสียชีวิตขับรถออกมาคนเดียว จึงขับรถเฉี่ยวมอเตอร์ไซค์ของผู้เสียชีวิตตกคูน้ำกลางถนน

จากนั้นลงไปที่คูน้ำแล้วพยายามจะอนาจาร แต่ผู้เสียชีวิตขัดขืนมีการใช้มือปัดต่อสู้ ตนจึงทำการชกท้องผู้ตาย 3 ครั้ง จากนั้นได้ทำอนาจารจนสำเร็จความใคร่ แล้วใช้เสื้อแขนยาวมีฮู้ดของผู้เสียชีวิตเช็ดน้ำอสุจิ

จากนั้นใช้เหล็กสำหรับเปลี่ยนล้อรถยนต์ที่ตีที่ใบหน้าของผู้เสียชีวิต ประมาณ 2-3 ครั้ง จนเสียชีวิต จากนั้นใช้รถมอเตอร์ไซค์ของนิหน่ามาทับศพของผู้ตายบริเวณใบหน้าและลำตัวท่อนบน เพื่ออำพรางว่าเป็นการเกิดอุบัติเหตุขับรถตกน้ำ จากนั้นเอากระเป๋าพร้อมเงินสด 1,300 บาท ของผู้เสียชีวิตไป

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมนายประถม เอียดขาว ผู้ต้องหา ได้ที่บ้านพักของตัวเองพร้อมนำของกลางมาดำเนินคดี ซึ่งผู้ต้องหาเคยต้องโทษคดีพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี เมื่อปี 2545 จำคุก 1 ปี โทษให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับเงิน 5,000 บาท

ด้าน พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.สส.ภ.9 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนผนวกกำลังค้นหาพยานหลักฐาน จนกระทั่งได้ตัวคนก่อเหตุโดยใช้เวลาเพียง 26 ชั่วโมง ก็สามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้ พร้อมได้ตรวจยึดของกลางไว้ได้

โดยผู้ต้องหาถูกจับตัวได้เร็ว เพราะในจุดเกิดเหตุพบรองเท้าแตะสีดำ 1 คู่ ถอดวางทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการไล่ภาพกล้องวงจรปิด ปรากฎว่าพบนายประถม ลงจากรถแล้วใส่รองเท้าชนิดเดียวกัน สีเดียวกันกับหลักฐานที่พบในจุดเกิดเหตุ ผู้ต้องหาอ้างว่าช่วงจะหลบหนีหารองเท้าแตะไม่เจอ เพราะมืด ไม่มีไฟ จึงขับรถหลบหนีแบบเท้าเปล่า

ซึ่งผลจากการตรวจ DNA จากซอกเล็บของผู้ตาย พบว่าเจอชิ้นเนื้อที่ตรงกับผู้ต้องหา คาดว่าน่าจะเกิดการต่อสู้ จากการพบร่องรอยการขีดข่วนบริเวณใบหน้าของผู้ต้องหา ทำให้เป็นหลักฐานมัดตัวคนร้ายอย่างแน่นหนา

นายอนันต์ จันตุลา อายุ 47 ปี พ่อของผู้เสียชีวิต บอกว่า ตนอยากถามว่าทำไมถึงทำกับลูกสาวของตนแบบนี้ การกระทำแบบนี้มันเกินไปกว่าเหตุมาก เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งอนาจาร แล้วยังทำร้ายร่างกายลูกสาวตนจนเสียชีวิต อยากจะขอร้องความยุติธรรมให้กับลูกสาวของตน ให้ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ถ้าประหารได้ให้ประหารชีวิต อย่าให้มันออกมาก่อเหตุแบบนี้กับใครอีก

ส่วนการทำแผนฯ ตนไม่ได้เห็นสีแววตาของคนก่อเหตุ เนื่องจากถูกตำรวจบัง ส่วนตัวอยากให้คนก่อเหตุมาขอขมาศพลูกสาวของตน ตนพร้อมจะอโหสิกรรมให้ เพราะไม่อยากให้ลูกสาวมีบ่วงกรรมกับคนแบบนี้

นางสาวไหมเหนาะ พลนุ้ย 46 ปี แม่ผู้เสียชีวิต กำลังอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ และนั่งอยู่ภายในรถด้วยอาการซึม บอกว่า ตนรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อทราบข่าวว่าลูกสาวถูกกระทำทางเพศ ก่อนถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ส่วนตัวมองว่าคนร้ายทำเกินไปกว่าเหตุอย่างมาก อยากให้เจ้าที่ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ด้วยการประหารชีวิต เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีประวัติการพรากผู้เยาว์มาแล้ว แต่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็ยังมีความกังวลใจว่าจะได้รับการประกันตัว อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประหารชีวิตเท่านั้น

เท่าที่เห็นหน้าตาผู้ก่อเหตุแล้ว ดูทำหน้าตาเฉย ๆ สีหน้าแววตาไร้ความสำนึกผิด ถ้าหากผู้ก่อเหตุมาขอโทษและขอขมาศพ ในส่วนของตนนั้น ขอไม่ให้อโหสิกรรมให้ และไม่มีวันให้อภัย "มันทำไปได้ยังไง ไม่มีลูกมีหลานบ้างหรือ"

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ย้อนรอยไปยังจุดที่นายประถม นำเสื้อแจ็คเกตมีฮู้ดของนางสาวนิหน่าไปทิ้งไว้ข้างทาง ถนนเพชรเกษมทางหลวงหมายเลข 4 ในพื้นที่ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองหาดใหญ่ บริเวณดังกล่าวเป็นทุ่งหน้ารกร้างข้างทาง ห่างจากบ้านผู้คน ความลึกลงไปจากถนนประมาณ 1 เมตร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 25 กิโลเมตร โดยทิศทางกลับบ้านของผู้ต้องหาที่จะมุ่งหน้าไป จ.พัทลุง อยู่ฝั่งตรงข้ามจากจุดทิ้งเสื้อไปยังบ้านของผู้ต้องหา ระยะทางห่างกัน 60 กิโลเมตร

สอบถามข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจ สันนิษฐานว่าหลังเกิดเหตุระหว่างเดินทางกลับบ้านมุ่งหน้าไป จ.พัทลุง ผู้ต้องหาอาจจะมีการยูเทิร์นรถกลับมาทิ้งที่บริเวณดังกล่าว เพื่อสร้างความซับซ้อนในการทิ้งหลักฐาน แล้วอาจจะยูเทิร์นเพื่อหันหัวรถกลับมาทางเดิม มุ่งหน้ากลับบ้านที่ จ.พัทลุง ก็เป็นไปได้

ที่วัดป่ายางในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา จัดพิธีสวดอภิธรรมศพโดยมีการวางศพไว้ในศาลา บรรยากาศภายในศาลาเป็นไปด้วยความโศกเศร้า

นายอนันต์ จันตุลา พ่อผู้เสียชีวิต เปิดเผยอีกว่า ตอนนี้ความกังวลใจกับการที่ภรรยาของผู้ก่อเหตุจะมีการประกันตัวสามี ตนวอนขอเจ้าที่ตำรวจให้เร่งดำเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากพฤติการณ์ค่อนข้างทำเกินไปกว่าเหตุ ถ้าหากปล่อยตัวออกมาก็อาจจะก่อเหตุในลักษณะแบบนี้กับคนอื่นได้ ตนทราบมาว่าฝั่งผู้ก่อเหตุมีลูกสาวเหมือนกัน ก็อยากจะถามกลับไปว่านึกถึงหัวอกคนเป็นพ่อที่มีลูกสาวเหมือนกันบ้างไหม ทำถึงขนาดนี้ถ้าหากลูกสาวของตัวเองถูกข่มขืนแบบนี้บ้างจะรู้สึกอย่างไร

ส่วนตัวไม่ต้องการให้ฝั่งผู้ก่อเหตุเดินทางมาที่วัด เนื่องจากทางญาติไม่มีใครทำใจได้ ถึงแม้ว่าฝั่งภรรยาจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องก็ตาม อย่ามาเลยจะดีกว่า ถ้าจะขอโทษตนให้ไปขอโทษกันที่โรงพัก ในวันนี้ลูกสาวไม่อยู่แล้ว ก็ขอให้ลูกสาวไปสบาย ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป ซึ่งคนก็พยายามให้กำลังใจกัน คงต้องใช้เวลาในการเยียวยาทุกสิ่ง

นายมิน (นามสมมติ) เพื่อนชายคนสนิทของผู้เสียชีวิต บอกว่า หลังจากทราบข่าวว่านิหน่าเสียชีวิต และถูกอนาจารด้วยนั้น ตนก็รู้สึกมึนงง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ส่วนตัวก็มองว่าผู้ก่อเหตุทำเกินกว่าเหตุ มองว่าผู้ก่อเหตุเคยมีคดีพรากผู้เยาว์มาแล้ว อยากให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

จากการตรวจสอบบนเฟซบุ๊กของนายมิน เพื่อนชายคนสนิทของผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64 หลังทราบเรื่องที่เกิดขึ้น มีการโพสต์ว่า "ตอนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แล้วบอกตัวเองในใจว่าอย่าร้องไห้ตอนนี้นะ โคตรที่สุดแล้วอะ"

นางสุมาลัย (นามสมมติ) อายุ 45 ปี ภรรยาผู้ต้องหา บอกว่า ตนไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าสามีไปก่อเหตุแบบนั้น ปัจจุบันสามีทำงานขับรถ 10 ล้ออยู่ที่หาดใหญ่ จะเดินทางกลับมาที่บ้าน จ.พัทลุง สัปดาห์ละ1-2 วัน ซึ่งปกติตนก็จะเข้าสวนยางตั้งแต่ 03.00 - 11.00 น. วันเกิดเหตุ 26 ก.พ. 64 เป็นวันที่สามีของตนจะกลับมาบ้านที่ จ.พัทลุง แต่บอกกับตนว่าจะกินเหล้าสังสรรค์กับเพื่อนเล็กน้อย ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าสามีกลับมาบ้านกี่โมง กลับมาบ้านก็เห็นว่าสามีนอนพักผ่อนอยู่ ทุกอย่างดูปกติ ไม่มีพิรุธ ส่วนตัวมองว่าถ้าทำอะไรผิดมาก็น่าจะมีพิรุธบ้าง

วันต่อมา 27 ก.พ. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถามหาเสื้อแขนยาวว่าเห็นหรือไม่ ตนไม่เข้าใจ ตำรวจเลยเชิญตัวไปพูดคุยที่ สภ.กงหรา โดยให้ดูรูปรถยนต์ แล้วถามว่าเป็นของสามีหรือไม่ ซึ่งตนก็ยืนยัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าไปจับกุมสามี ตำรวจบอกแค่ว่าสามีของตนไปทำคนตาย

ตนมาทราบข่าวก็ตกใจ ไม่อยากเชื่อว่าสามีเป็นคนทำ เนื่องจากอยู่กินกันมากว่า 30 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกชายคนโต อายุ 28 ปี ลูกชายคนกลางอายุ 25 ปี ลูกสาวคนเล็กอายุ 23 ปี ซึ่งมีนิสัยที่รักครอบครัว ไม่เคยทะเลาะตบตีอะไรกัน เพราะตนก็เป็นคนที่ให้เกียรติสามี

โดยส่วนใหญ่สามีเป็นเสาหลักของครอบครัว รายได้ทุกอย่างมาจากสามี ตอนนี้มีภาระที่ต้องจ่ายเงินค่าเทอมลูกสาวที่เรียนผู้ช่วยพยาบาลอยู่ ตนพร้อมจะหาวิธีไปประกันตัวสามีให้ได้ ถึงแม้ตนจะไม่มีเงิน ก็จะเรี่ยไรจากญาติ หากสามีติดคุกตลอดชีวิตตนคงจะร้องไห้ และก็คงจะเครียดมาก ส่วนตัวรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมขอโทษแทนสามีของตน ใจจริงอยากจะไปร่วมแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต แต่ตนไม่มีญาติอยู่แถวนั้นเลย ถ้ามีก็คงฝากเงินไปช่วยงานแล้ว แต่ตนก็ไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร เพราะฐานะตอนนี้ก็คนจนคนหนึ่ง ลำพังตัวคนเดียวก็ไม่กล้าไป กลัวจะโดนรุมประชาทัณฑ์

ส่วนเรื่องพรากผู้เยาว์ เป็นเรื่องของศาสนาอิสลามที่สามีมีภรรยาได้ 4 คน แบบไม่ผิด ถ้าย้อนกลับไปปี 2545 สามีของตนอายุ 30 ปี ส่วนผู้หญิง อายุ 17 ปี ทั้งสองคนรักชอบพอใจที่จะมาอยู่กินแบบ 2 เมีย 1 ผัว แต่แม่ของฝ่ายหญิงไม่ยอม และได้ทำการแจ้งความก่อนหน้าที่จะเคลียร์กัน และไม่สามารถถอนแจ้งความได้ สามีของตนเลยถูกดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ โทษจำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ปรับเงิน 5,000 บาท ซึ่งตนก็อยากจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน