หลังจากที่มีการจับกุมคนร้านที่ลงมือก่อเหตุฆ่านางสาวนิหน่า อายุ 15 ปี บริเวณร่องคูน้ำบริเวณกลาง บนถนนเอเชีย ในพื้นที่ หมู่ 5 ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 เวลาประมาณ 00.30 น. คนก่อเหตุรับสารภาพและอ้างว่าสำนึกผิดแล้ว ซึ่งตลอดการถูกคุมตัวไม่มีญาติมาเยี่ยม เจ้าตัวมีอาการเครียด และไม่ยอมนอน
วันที่ 2 มี.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางกล่ำ ได้นำตัวนายประถม เอียดขาว ผู้ต้อหา ฝากขังศาลจังหวัดสงขลาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. และแจ้งใน 3 ข้อหาหนัก โดยบังหมัดได้ทานข้าวมื้อเที่ยง เป็นเมนูข้าวราดแกงผัดพริกแกปลาดุกมื้อสุดท้าย ก่อนนำตัวไปฝากขัง และคัดค้านการประกันตัว ส่วนญาติของผู้เสียชีวิตเตรียมรอรุมประชาทัณฑ์ แต่ไม่มีเหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- บุกกระทืบไอ้หื่นขับรถชนเด็กลากข่มขืนเหยื่อกัดหน้าสู้จนตาย เมียช็อกผัวดีทำเลว
ทีมข่าวย้อนรอยไปยังจุดแรกที่นายประถม เอียดขาว หรือ บังหมัด อายุ 49 ปี ผู้ต้องหา ได้มีการดื่มเหล้ากับเพื่อนที่ทำงาน ก่อนลงมือก่อเหตุข่มขืน แล้วฆ่าชิงทรัพย์น้องนิหน่า ผู้เสียชีวิต จุดที่บังหมัด ดื่มสุรากับเพื่อนในพื้นที่ ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งดื่มเหล้ากับเพื่อน 1 คน ที่ข้างโกดัง
นายเทพ (นามสมมติ) อายุ 56 ปี หัวหน้างานบังหมด บอกว่า ตนเป็นหัวหน้างานของบังหมัด ทำงานด้วยกันมา 30 ปีแล้ว ตั้งแต่อายุบังหมัด 14-15 ปี ในส่วนของเรื่องการทำงาน บังหมัดไม่เคยขาดตกบกพร่อง มีความรับผิดชอบดี ที่ผ่านมาบังหมัดมีเรื่องผู้หญิงบ้าง ก็เคยเตือนว่ามีลูกมีเมียแล้วให้เบาลงบ้าง เรื่องดื่มสุราก็เช่นกัน เพราะคนที่นับถืออิสลามจะไม่ดื่มสุรา แต่บังหมัดก็ยังมีพฤติกรรมชอบดื่มสุรา พฤติกรรมเรื่องอื่นก็ดี นิสัยใจคอดี ตนก็ในฐานะเจ้านาย อยู่ด้วยกันมาก็มองว่าบังหมัดเหมือนพี่เหมือนน้องคนหนึ่ง
ส่วนตัวทราบข่าวก็รู้สึกช็อก ไม่มีใครคาดคิดว่าบังหมัดจะทำแบบนั้น เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ตกใจ ไม่มีใครอยากเชื่อ เนื่องจากพฤติการณ์ค่อนข้างรุนแรง ตนคาดสาเหตุน่าจะเกิดจากความเมาแล้วเกิดอารมณ์ เนื่องจากเห็นว่ามีการดื่มสุราข้างโกดัง ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปดื่มกันตอนไหน หลังจากที่บังหมัดโดนจับกุม ตนก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมบังหมัด ซึ่งเรื่องคดีความตนก็ปล่อยให้เจ้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายเพราะสิ่งที่บังหมัดทำลงไปก็เกินไปจริง ๆ ส่วนในเรื่องการประกันตัว หากภรรยาบังหมัดมาขอความช่วยเหลือ ตนไม่ขอให้ความช่วยเหลือเรื่องการประกันตัว แต่ขอช่วยเหลือเรื่องลูก ค่าเทอมบ้างเล็กน้อยตามสมควรจะดีกว่า
ขณะที่เจ้าหน้าที่พาผู้ต้องหาไปชี้จุดเกิดเหตุอีกครั้งเป็นรอบที่ 2 โดยไม่ได้แจ้งญาติของผู้เสียชีวิต หวั่นจะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ผู้ต้องหารับสารภาพและให้การตามเดิมถึงพฤติกรรมการก่อเหตุ
ขณะที่ผู้ต้องหาถูกนำตัวออกจากห้องขัง สภ.คลองหอยโข่ง บอกเพียงสั้น ๆ ว่า สำนึกผิดและยอมรับกรรมและรับโทษกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป และอยากขอโทษน้องนิหน่าและครอบครัว หากย้อนเวลากลับไปได้ในคืนนั้นจะไปทำแบบนี้
นายริท (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ลูกชายคนโตของบังหมัด บอกว่าว่า วันที่ 26 ก.พ. 64 ตนไปทำงานขับรถขนส่งยังไม่ได้กลับมาที่ทำงาน แล้วพ่อโทรมาชวนกลับบ้านที่ จ.พัทลุง แต่แฟนสาวของตนมาที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เลยขอไม่กลับด้วย ซึ่งตอนตนกลับมาถึงที่ทำงานประมาณ 23.00 น. ก็เจอพ่ออีกครั้ง พ่อก็ชวนกลับอีกรอบ ขณะนั้นตนเห็นว่าพ่อก็สร่างเมาแล้ว ก็ยืนยันกับพ่ออีกรอบว่าไม่กลับบ้าน พ่อก็ขับรถออกไป
จากนั้นวันที่ 28 ก.พ. 64 แม่โทรมาบอกว่าเกิดเรื่องกับพ่อ ทีแรกตนเข้าใจว่าเกิดอุบัติเหตุ แต่แม่บอกว่าพ่อทำคนตาย ตนก็รู้สึกช็อกตกใจ ส่วนตัวไม่คิดว่าพ่อจะทำแบบนั้น เพราะปกติพ่อจะกลับบ้าน ม่เคยแวะที่ไหนก่อน หลังทราบข่าวแล้วก็รู้สึกเครียด จึงพยายามไม่ติดตามข่าวสาร รอให้คดีสรุปทีเดียว ตนก็ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อเป็นคนทำ แต่ด้วยหลักฐานก็ชี้ชัด ต้องว่าไปตามนั้น ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมพ่อ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เรื่องประตัวก็ต้องคุยกับแม่อีกที เพราะสภาพจิตใจของแม่ก็ค่อนข้างเครียด ส่วนตัวก็ มีความกังวลใจว่าพ่อจะถูกตัดสินประหารชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต เพราะเท่ากับว่าจะขาดรายได้หลักของครอบครัว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
ส่วนเรื่องคดีพรากผู้เยาว์ในอดีต ตนไม่ทราบรายละเอียด เนื่องจากขณะนั้นตนก็ยังเด็ก จำได้แค่ว่าเห็นว่าเคลียร์กันได้แล้ว ไม่เคยมีการสอบถามพ่อเลย ขณะนี้ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนฝากขอโทษแทนพ่อตัวเอง ตอนนี้เชื่อว่าพ่อสำนึกผิดแล้วอยากให้ญาติผู้เสียชีวิตยกโทษให้พ่อด้วย
นางสุมาลัย ภรรยาบังหมัด เล่าว่า ตนเห็นข่าวแล้ว เข้าใจทางฝั่งครอบครัวนิหน่าคงโมโห แต่การรุมประชาทัณฑ์แบบนี้มันเกินไป ยอมรับว่าโกรธ เพราะตำรวจจับบังหมัดแล้ว ก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ใช่มาทำกันแบบนี้ ตนก็เสียใจกับสิ่งที่บังหมัดทำลงไป ถ้าเป็นไปได้ อยากไปขอขมานิหน่า และขอโทษทางครอบครัว กำลังปรึกษากับญาติว่าจะไปงานศพดีหรือไม่ แต่กังวลว่าตอนนี้ทางครอบครัวนิหน่าเองคงยังไม่พร้อมรับคำขอขมา ถ้าไปเจอกันแล้วจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาจมีการกระทบกระทั่งกันได้ ส่วนเรื่องบังหมัด ถ้าศาลให้ประกันตนก็จะไปยื่นขอประกันตัวออกมาสู้คดี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- บุกกระทืบไอ้หื่นขับรถชนเด็กลากข่มขืนเหยื่อกัดหน้าสู้จนตาย เมียช็อกผัวดีทำเลว
บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง ผู้ขับเคลื่อนต่อต้านการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับสตรีในสังคม ตลอดจนเคยผลักดันนโยบายเพิ่มโทษประหารกับคดีข่มขืน เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่นึกไม่ฝันว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากที่ทราบข่าว เพราะมองว่าเป็นเหตุการณ์ที่เหี้ยมโหดมาก ที่คน ๆ หนึ่งจะกระทำการข่มขืนพร้อมอำพรางศพว่าเป็นอุบัติเหตุ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาทีในการก่อเหตุ ส่วนตัวอยากจะถามฆาตกรรายดังกล่าวว่าใช้อะไรคิดในการกระทำการดังกล่าว ทำไมถึงเลือดเย็นได้ถึงขนาดนั้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือเหตุผลที่ตนพยายามผลักดันให้เพิ่มโทษประหาร เพราะไม่อยากให้คนพวกนี้เข้าไปผลาญข้าวในคุก เพราะเงินที่ดูแลเลี้ยงดูคนเหล่านี้ก็เป็นภาษีของประชาชนทุกคน จึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพวกนี้ไว้ คนพวกนี้ไม่ควรมีโอกาสจะอยู่ต่อไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นสะเทือนใจเกินที่มนุษย์จะรับได้ ขนาดตนเองอ่านข่าวก็ถึงขั้นน้ำตาไหล
ตอนนี้แม้ว่าโทษสูงสุดของกฎหมายระบุไว้ว่าข่มขืนและฆ่าคือประหาร แต่กระบวนการอาจจะต้องใช้เวลา ทำให้คนเหล่านี้ยังมีโอกาสจะได้รับโทษที่หนักรองลงมา อาจจะรับสารภาพแล้วได้โทษจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ส่วนนี้ตนอยากให้ประหารทันที ไม่อยากให้อยู่เปลืองข้าวในคุก เปลืองพื้นที่คุก การเพิ่มโทษต้องทำให้เห็นจริง ๆ ไม่ใช่รอเวลาจนหลายคนลืมไปหมดแล้วว่าความคืบหน้าของคดีเป็นอย่างไร ทางแก้ที่จะให้อาชญากรรมเกี่ยวกับคดีข่มขืนแล้วฆ่าลดน้อยลง คือควรเชือดไก่ให้ลิงดู ขอกระบวนการของภาครัฐให้เร็วกว่านี้
วิน-ธกร อำพันธ์เปรม บุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวและรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนการบทการลงโทษเกี่ยวกับคดีฆ่าขมขื่นเท่ากับประหาร เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวน้องนิหน่า ตนรู้สึกเสียใจ
พร้อมกับอยากถามที่ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วเหรอ เกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้นหลายคนอาจจะโฟกัสถึงบทลงโทษเป็นหลัก แต่ในวันนี้ตนเองอยากจะบอกว่าในส่วนของบทลงโทษฆ่าข่มขืนเท่ากับประหารนั้น มันคงเป็นประเด็นที่ถึงที่สิ่นสุดแล้ว มองว่ากฎหมายตอนนี้ถึงที่สุดแล้ว ไม่สามารถทำอะไรเพิ่มนอกเหนือจากนี้แล้ว
ทั้งนี้ ส่วนตัวอยากจะให้มองถึงประเด็นเยียวยาครอบครัวของผู้เสียหายที่เกิดขึ้น ตนอยากให้หน่วยงานของภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญในส่วนนี้ หลายคนเองอาจจะละเลยไปถึงข้อนี้ กว่าที่ครอบครัวของเหยื่อจะได้นับการเยียวยาก็ผ่านพ้นไปนานแล้ว หรือรอจนกว่าคดีถึงที่สิ้นสุดก่อน ปัจจุบันมันค่อนข้างลำบาก เพราะทางครอบครัวของเหยื่อเองต้องเป็นฝ่ายเดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย แต่จะดีไหมหากวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกัน เร่งรัดในขั้นตอนการข่วยเหลือส่วนนี้ให้เร็วกว่าเดิม และไม่ยุ่งยากเหมือนทุกวันนี้