จัดเต็มให้ได้ร้องว้าว! ตามสไตล์ของนักแสดงตลกอารมณ์ดี "อรชร เชิญยิ้ม" ที่อยากให้ทุกคนที่ได้รับแต่รอยยิ้มในทุกๆ ที่ไปตัวเองไปเยือน เช่นเดียวกันเมื่อได้มารายการ ต้มยำอมรินทร์ ก็มาเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าผม สร้างสีสันรอยยิ้มไปทั้งรายการ พร้อมกับเปิดใจแบบหมดเปลือก ยอมรับแบบชัดเจนว่ามีความสุขมากในการเป็นสาวประเภทสอง ไม่สนกับคำบูลลี่ใดๆ แถมยังเอามาเป็นพลังบวก ส่วนครอบครัวที่ต้องดูแล ทั้งลูกหลานมากมายนั้นไม่เคยคิดมองว่าเป็นภาระ แต่มันคือความรับผิดชอบ ถึงเหนื่อยแต่ก็มีความสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "แมว จิรศักดิ์" ขอเคลียร์!! หลังมีกระแสทิ้งบัลลังก์ร็อก ขึ้นแท่นผู้บริหารค่ายเพลง
- เห่อลูกขั้นสุด! "โอ๊ต วรวุฒิ" เปิดใจเกือบขายธุรกิจทิ้ง เพื่ออยู่บ้านกับลูก
- "ดอกอ้อ ทุ่งทอง & ก้านตอง ทุ่งเงิน" ยอมรับ! เป็นคู่พี่น้องที่ไม่ค่อยถูกกัน
- "เก้า จิรายุ" ลุยเส้นทางสายดนตรี เตรียมทำอัลบั้มแรกในชีวิตกับวง "Bad Baboon"
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี
ถาม เห็นเป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้ แต่ย้อนกลับไป ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว
อรชร : ครอบครัวมีลูกผู้ชายสามคน ผู้หญิงสองคน แล้วผู้ชายคนที่สองกับคนที่สามตาย เพราะว่ามีภรรยา เราเลยคิดว่าถ้าเป็นผู้ชายแบบเขาคงจะตาย เลยเป็นผู้หญิงแบบนี้ดีกว่า อันนี้เรื่องจริง แม้แต่พ่อตัวเองยังตายเลย
ถาม แสดงว่าเราเลือกทางนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรหรือเปล่า
อรชร : ตอนแรกก็ยังไม่แนวนี้เลย เพราะคุณพ่อไม่ชอบ เขาไม่อยากในลูกเป็นแบบนี้ เขาอยากให้ลูกมีครอบครัว ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ ยังอยากจะแต่งงาน ถ้ามีชีวิตคู่ ก็จะได้ดูแลกันตอนบั้นปลายชีวิต สรุปก็ไม่ได้ดั่งหวัง เพราะว่าบ้านเราอยากจน เราไม่มีเงินไปขอ พอผู้หญิงที่เราไปขอ ไปแต่งงาน เราก็เสียใจ
ถาม แต่พี่อรชร เมื่อก่อนหล่อจนถึงขั้นเป็นพระเอกลิเกเลยนะ
อรชร : ตอนนั้นที่เราได้เป็นพระเอกลิเก ยังเด็กมาก เราจบป.6 ทำงานอายุ 14 เริ่ม 15 ได้เป็นพระเอก เพราะครอบครัวเรายากจน เราก็ต้องหาเงินช่วยครอบครัว พอพี่ชายเขาแต่งงาน เขาก็ย้ายออกไปอยู่ที่บ้านภรรยาเขา โดยที่เรากับน้องสาวอยู่กับแม่ เงินเราก็ไม่ค่อยมี เราก็เลยให้น้องสาวเรียนดีกว่า เราก็ออกมาทำงานหาเงินแบกปุ๋ยบ้าง หาบข้าวบ้าง 100 บาทกว่าจะได้เนอะ แต่กลายมาเป็นพระเอกลิเก เพราะเขาประกาศรับสมัคร เราก็รู้สึกว่าอยากทำ เราชอบลิเกชอบแต่งหน้าแต่งตา พอเราร้องกลอนได้ จำกลอนได้แม่นเขาเลยให้เราเป็นพระเอกลิเก
ถาม ได้เป็นถึงพระเอกลิเก แต่กลับไม่มีแม่ยกเกิดอะไรขึ้น
อรชร : หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ที่ใบหน้า (หัวเราะ) คณะที่เราอยู่ที่แรกเลยคือคณะน้านงค์ เชิญยิ้ม เราก็ไปอยู่ในคณะเขาเป็นพระเอก พอเราเล่นมาเล่นไป โจ๊กในคณะเขาไม่มี เพราะโจ๊กในคณะเขาไปรับงานเอง เขาก็บอกว่าให้เราเป็นโจ๊กให้หน่อย เราก็บอกว่า น้านงค์ เป็นโจ๊กได้ยังไง เป็นพระเอกอยู่ น้านงค์แกก็บอกว่าจะเป็นพระเอกได้ยังไงดูหน้าสิ จมูกก็โต ตัวก็เตี้ย เราก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้จะให้คำตอบ พอกลับบ้านไปก็นั่งร้องไห้หน้ากระจกว่าเขาดูถูกเรามากเลยนะ พอนั่งดูไปดูมา ที่เขาพูดมาก็จริงเหมือนกัน (หัวเราะ) เช้ามาก็ตัดสินใจว่า น้านงค์ เป็นโจ๊กให้ก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาเป็นโจ๊ก ค่าตัวดีขึ้น รางวัลดีขึ้น มีคนชอบเราเยอะขึ้น จากที่เราเริ่มแรกเลยได้เงิน 50 บาท แต่พอมาเป็นโจ๊กเราได้เงิน 1000 บาท ตอนที่เราเป็นโจ๊ก ก็แต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ แล้วมีผู้หญิงมาชอบ แต่ใจของเราความรู้สึกเรายังต้องรับหน้าที่ดูแลครอบครัว จะมามีความสุขคนเดียวไม่ได้
ถาม ไปหลงรักนางเอกลิเกได้ยังไง
อรชร : ตอนเป็นพระเอกลิเก ก็ไปเกี้ยวกัน จะร้องเพลงคู่กัน ได้กอด ได้อะไร เราก็รู้สึกว่าคนนี้คือคนที่ใช่ แล้วที่บ้านของเขาทำเครื่องเสียง เราก็ไปช่วยเขาแบกลำโพง ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราชอบเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาชอบเราหรือเปล่านะ เพราะเราไม่กล้าถาม ทุกเทศกาลหรือเราไปที่ไหนก็แล้ว แต่เราจะซื้อของไปฝากเขาตลอด ทำให้เรามีความรู้สึกว่าพอเขาแต่งงานไปเราก็เสียใจ เพราะตอนนั้นเราจะไปขอเขาอยู่แล้ว ซึ่งพ่อก็จะไปขอให้ แต่แม่บอกว่าไม่มีเงิน แม่ยื่นคำขาดว่า ถ้าจะให้แต่งก็ไปหาเงินไปขอกันเอง (ซึ่งถามว่าเป็นแฟนกันไหม ทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้) แต่เราก็ไม่อยากพูดถึงตรงนี้แล้ว เพราะว่าเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว แต่ถือว่าเขาโชคดีที่ได้แต่งงานแล้วมีลูกมีครอบครัวที่ดี แล้วถ้าเราได้กับเขา เราคงไม่มีโอกาสได้มาตรงนี้
ถาม ที่บอกว่าเข้าใจที่เขาไปแต่งงาน แต่ก็เสียใจมาก ถึงขนาดที่กินยาฆ่าตัวตาย ตอนนั้นอารมณ์ไหน
อรชร : เราไปเห็นเขาเดินจูงมือกัน ไปไหว้พระ ช่วงที่เราเล่นลิเกอยู่ ตอนนั้นเป็นฉากร้องไห้พอดี เราอิน เล่นเสร็จก็กลับบ้านเลย พ่อกับแม่ยังดูลิเกกันต่อ พอถึงบ้านเราก็กินยาฆ่าตัวตายเลย เรารู้สึกว่าอาย ก็ผู้ชายเนอะ เหมือนโดนเหยียบหน้า แต่พอพ่อแม่กลับมาถึงบ้านเห็นเราน้ำลายฟูมปาก ก็พาเราส่งโรงพยาบาลไปล้างท้อง แล้วพยาบาลก็พูดสอนเราว่าดูมีใครบ้างที่รักเรา มีพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไปยืนร้องไห้ จากนั้นเราก็ตัดสินใจออกจากบ้าน ทิ้งงานลิเกไปเลย หนีมาเล่นลิเกในกรุงเทพฯ แล้วก็มาเจอน้ากล้วย
ถาม ซึ่งการหนีออกจากบ้าน คือ จุดเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตของ อรชร
อรชร : เปลี่ยนเส้นทางเหมือนเปลี่ยนชีวิตให้เราเลย ไม่ได้รู้จักน้ากล้วยมาก่อนเลย เรามาเล่นลิเก แล้วน้ากล้วยเขามาตามหานางเอกลิเก เพื่อที่จะเอาไปอยู่ในคณะเขา แล้วมาเจอเราเพราะนางเอกลิเกคนนี้ เราไปอาศัยเขาอยู่ เขาก็ชวนนางเอกไป แล้วเขาเห็นเรา เลยเอาเราไปด้วยเป็นตัวแถม เราก็ไปกับเขา ก็ถามเราชื่ออะไร ทับทิมทอง เป็นชื่อที่น้านงค์ตั้งให้ น้ากล้วยบอกว่ามาอยู่กรุงเทพฯ ใช้ชื่อนี้ไม่ได้ เขาก็ถามว่าเราเป็นไหม เราก็บอกว่าก้ำกึ่งค่ะ น้ากล้วยเขาก็ตั้งชื่อให้เราว่าอรชรแล้วกัน พอเราไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิง จะไม่ค่อยมีคนชอบ แต่พอเราแต่งตัวเป็นผู้หญิง เป็นนางโกง ก็มีผู้หญิงมาชอบ ชวนเราไปกินข้าวด้วย แล้วตั้งแต่นั้นมา เราก็รู้สึกว่าถ้าเราเป็นแบบนี้ เข้ากับคนได้ง่าย ได้เงินก็เยอะแล้ว น้ากล้วยก็ผลักดันเราพาไปออกรายการ ได้เจอพี่หม่ำ เราก็ได้เล่นหนังของพี่หม่ำด้วยเลยทำให้เป็นที่รู้จัก เพราะว่าเราเป็นผู้ชายมันไม่ขึ้น
ถาม หลายคนคิดว่าเป็นพี่น้องกับน้ากล้วย เพราะหน้าตาเหมือนกันมาก
อรชร : น้ากล้วยมา 17 ปี หน้าตาคงจะกลมกลืนคล้ายเหมือนกันไปหมด
ถาม งั้นสรุปอีกครั้งหนึ่ง เป็นหรือไม่เป็น
อรชร : เป็นค่ะ เป็นเลยดีกว่า หาเงินได้ดี แล้วก็สวย
ถาม เคยมีครอบครัวแต่งงานมีลูกสาว เป็นช่วงที่สับสนหรือเปล่า
อรชร : มันไม่ได้สับสน เราเจอเขา เขาดีกับเราจริงๆ ไม่เคยมีใครดีกับเราขนาดนี้ เขาดูแลเรา แล้วอีกอย่างเขามีอันจะกินด้วยเนอะเขาคงจะช่วยเหลือครอบครัวเราได้ แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปไม่ได้ เราก็หาเองดีกว่า ในที่สุดเราก็แยกกับเขา ก็มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน
ถาม พอลูกสาวรู้ว่าเราเป็นแบบนี้ เขาว่ายังไง
อรชร : ก่อนพ่อเสีย เขาก็พูดแล้วว่าใครอย่ามาว่าลูกเป็นตุ๊ดนะ เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่มีกินมีใช้เพราะตุ๊ดนะ เราก็ดีใจที่พ่อพูดแบบนี้ ซึ่งก่อนที่พ่อจะสิ้นลม เราก็บอกเขาว่าไม่ต้องห่วงแม่หรือที่บ้าน เราจะเป็นคนดูแลเอง ตั้งแต่นั้นมาใครจะว่ายังไงไม่สน เพราะเราทำงานได้เงินมา เราก็ส่งให้ที่บ้านอย่างเดียว เราก็ทำบ้าน ไถ่ที่ที่พ่อไปจำนองขายแล้วเราก็แล้วมาปลูกใหม่ เพราะลูกหลานเยอะ แล้วลูกสาวก็จะถามตอนที่เขาเด็กๆ ว่าพ่อ ทำไมต้องแต่งตัว ทำไมต้องแต่งตา เราก็บอกว่าทำไมต้องถามอะไรมากมาย เพราะจากที่ดูแล้ว ลูกเขาไม่ได้มาทางเรา เวลาเขาเดินคือแมนมาก ถามว่าความใกล้ชิด เราจะไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา เพราะเราจะส่งเงินไปที่บ้านอย่างเดียว แล้วแม่เราก็จะสอนหลานว่า ถ้าไม่มีพ่อ เราไม่มีกินเลยนะ พ่อทำงาน ที่พ่อไม่กลับมา เพราะว่าพ่อหาเงิน เราก็รู้ว่าเขาพยายามจะโทรคุยกับเรา แต่เราก็โทรหาแม่ ถามว่าลูกอยู่ไหม อยู่เราก็จะคุย แต่มีวันหนึ่งที่เราโทรไปตอนที่เขากำลังกลับจากเรียนพอโทรไปเขาก็รับ แล้วเขาก็กลับมาบอกย่าว่า ย่า ตื่นเต้นมาก พ่อเรียกหนูว่าลูก ชีวิตประจำวันของเราก็จะอยู่กับลูกๆ หลานๆ บางคนเรียก ตา ลุง พ่อ มีใหม่มาอีกคนเรียก ปู่ ซึ่งคนที่เราเลี้ยงมาก็บอกว่าบางคนที่ทำงานได้ ก็ไปทำงานเลย ไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวทางนี้เราจะดูแลเอง เราก็ต้องดูแล เพราะว่าเขาเป็นผู้หญิง ถ้าสมมติว่าเราไม่เอามาเลี้ยง มาดูแล เราก็เป็นห่วง
ถาม เหนื่อยไหม
อรชร : ถามว่าเหนื่อยไหม ไม่เคยคิดว่าเหนื่อยเลย ทุกคนจะพูดว่าภาระ เราจะบอกว่าไม่ใช่ค่ะ นี่คือหน้าที่ของเรา เพราะว่าเรารับปากพ่อแล้ว อะไรที่เราทำได้ทำ เราก็มีความสุขที่เราได้ทำ
ถาม แล้วเคยมีเดือนที่เราชักหน้าไม่ถึงหลังไหม
อรชร : มี แต่ก็จะมีโปรดิวเซอร์เขาโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ช่วงโควิดมีงานไหม เราก็บอกว่ายังพอมี แล้วก็จะมีสุภาพบุรุษคอยถาม เป็นกำลังใจให้เราว่าสู้ๆ นะ
ถาม แล้วตอนนี้มีคนรู้ใจหรือยัง
อรชร : เรารู้ใจเขาแต่เขาจะรู้ใจเราหรือเปล่า ทุกวันนี้เราคิดแค่ขอมโนไว้ดีกว่า เพราะมโนไม่เสียเงิน ว่าเราชอบคนนี้ อะไรอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ยุ่งกับใครเลย แล้วก็เคยมีเด็กโทรมาหาเราในเฟส ซึ่งเขาก็หน้าตาดีมาก เราก็คุย เขาก็บอกเราว่าน่ารักมากเลย ผมชอบพี่ เราก็นึกในใจมันมีกระจกนะ (หัวเราะ) พอคุยกันวันที่สาม พี่ครับช่วยผมหน่อย รถผมจะโดนยึดตั้ง 7,500 เราก็ถามว่ามีอะไรอีกไหม แล้วเราก็ให้ฟังที่เราพูดบ้าง พี่ต้องส่งงวดรถ 21,000 ค่าบ้านอีก 12,200 ส่งเด็กเรียนอีก 4 คนอยู่ปี 2 พอเขาได้ฟังก็บอกว่าชีวิตพี่แย่กว่าผมอีกนะ ตั้งแต่นั้นเขาก็หายไปเลย บางคนก็โทรมาขอเงิน เราก็บอกเขาว่าเธอ ฉันจะไปเอาเงินที่ไหนให้ งานฉันยังไม่มีเลย เราก็จะรู้ว่าใครที่รักเราก็ช่วงโควิดนี่แหละ ช่วงที่เราล่วงเลย เขาก็คอยเป็นกำลังใจให้ เราก็มีอยู่คนหนึ่งที่เข้าวินที่สุด
ถาม เขาเป็นคนมองโลกในแง่บวก มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เขาไม่ได้มองว่าคือภาระ แล้วเป็นคนขยันและสู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเจอในโลกใบนี้คือการถูกบูลลี่
อรชร : ที่เราเคยเจอก็คือเรื่องของครอบครัว เราช่วยเหลือเขาไม่ได้ เราอยากจะช่วยเขา แต่บางช่วงเราไม่มีงาน เราเลยเครียดแล้วคิดมากตรงนั้น เรื่องอื่นไม่เคยคิดมาก
ถาม ต่อให้ใครมาดูถูกหน้าตาเรา
อรชร : ไม่ค่ะ เพราะเขารักเรา เขาถึงคุยกับเรา ถ้าเขาไม่ได้ติดตามดูเรา เขาคงไม่รู้ว่าเราสวย เราไม่ได้แคร์เลย ปล่อยเขาเถอะคำพูดของเขามันเหมือนบันได เป็นเหมือนสะพานให้เราเดินต่อไปอีก ใครที่อยากติดตามสามารถติดตามได้ทางเฟสบุ๊ส อรชร เชิญยิ้ม นะคะ