จิ๋วแต่แจ๋วแถมพลังเสียงที่ติดตัวมาของ หนิม คนึงพิมพ์ หรือที่หลายคนรู้จักเธอในฐานะ หนิม AF5 ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เล่าถึงเส้นทางการมาเป็นนักร้อง เพราะสานฝันให้คุณพ่อคุณแม่ที่ชอบในเสียงเพลงและทางด้านดนตรี แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เธอก็ผ่านการประกวดมากว่า 50 เวที และมีเวทีหนึ่งที่ทำให้หนิมถึงกับท้อแทบถอดใจ ไม่อยากร้องเพลง และเปิดความลับ ค้นพบตัวเองมีสัมผัสพิเศษ จนเคยมีผีมากระซิบให้กระโดดตึก
ถาม หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการเดินทางเป็นนักล่าฝันเข้าบ้าน AF จริงๆ แล้วเริ่มต้นล่าฝันเพราะเป็นฝันของคุณพ่อ
หนิม คนึงพิมพ์ : ใช่ค่ะ คุณพ่อชอบแต่งเพลง ชอบแต่งกลอน แต่คุณพ่อไม่ได้เป็นนักร้อง นักดนตรีนะคะ ท่านมีความชอบทางด้านนี้ค่ะ ส่วนคุณแม่เป็นคนที่เสียงเพราะนะคะ แต่ก็ร้องเพลงไม่เป็นเหมือนกัน เขาก็เลยเอาทุกอย่างมารวมที่เรา พอมีลูกสาวก็อยากให้ลูกสาวเป็นนักร้อง เพราะเป็นความชอบของคุณพ่อคุณแม่ เขาอยากให้เราเป็นนักร้องลูกทุ่ง ทุกอย่างที่เขาเลี้ยงเรามาลูกทุ่งเลย อย่างตอนเช้าเวลาที่เขาจะมาปลุกเรา ที่บ้านทำเครื่องเสียง คุณแม่ก็จะมาเปิดเพลงแบบ เต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ (หัวเราะ) เป็นแบบนี้ทุกวันเลย ทำให้เราเป็นคนที่ชอบเพลงลูกทุ่ง ชอบเพลงสนุก เป็นลูกทุ่งสายแดนซ์เลยค่ะ
ถาม จนขนาดที่คุณพ่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา เพื่อจะได้ให้ลูกสาวร้อง
หนิม คนึงพิมพ์ : ใช่ค่ะ เพราะมีอยู่วันหนึ่ง เราดูละครเรื่อง สาวน้อยคาเฟ่ แล้วเราก็ร้องเพลงในละครเรื่องนี้ได้ทุกเพลงเลย แล้วคุณพ่อก็เห็นก็รู้สึกว่าน่าจะถึงเวลาเราแล้ว และสิ่งที่เขาปลูกฝังมาคือประสบความสำเร็จแล้ว แล้วด้วยความที่ที่บ้านมีเครื่องเสียงอยู่แล้ว คุณพ่อก็ตั้งวงดนตรีขึ้นมา ด้วยการนำเพื่อนๆ มาเล่นให้เราร้อง และก็ได้เสียงตอบรับดีเลยนะคะ เพราะเราไปร้องเพลงในแบบเยาวชน ก็จะใสๆ เจ้าภาพท่านไหนที่เขาชอบแบบใสๆ ก็จะจ้างเราไป ซึ่งไม่ใช่แค่คุณพ่อนะคะ ที่ฝันอยากให้เราเป็นนักร้อง ตัวของเราด้วย ไม่ได้ฝันอยากเป็นอย่างอื่นเลย เพราะเราอยากเป็นนักร้อง อยากอยู่ในวงการบันเทิง
ถาม เพราะด้วยความที่เราชอบด้วย หนิมถึงกับไปเดินสายประกวดร้องเพลงถึง 50 กว่าเวทีเลย
หนิม คนึงพิมพ์ : เริ่มจากที่คุณพ่อคุณแม่พาไปก่อนค่ะ เริ่มจากงานระดับอำเภอ งานเปิดตลาด เราก็ไปร้องเพลงพอชนะระดับอำเภอ เราก็ขยับไประดับจังหวัด พอเราประกวดมาเยอะๆ น้องๆ ที่มาประกวดด้วยก็บอกเราว่าพี่หนิมมา หนูไม่อยากมาประกวดเลย เราก็เลยเริ่มขยับระดับประเทศก็คือบ้าน AF ค่ะ ซึ่งระหว่างที่เราร้องเพลง เราก็มีการเรียนควบคู่กันไปด้วยค่ะ เพราะว่าหนิมฝึกฟ้อนรำดาบตั้งแต่อายุ 6 ซึ่งตอนแรกเราก็รู้สึกว่าไม่ชอบ แต่พอเราไปงานแล้วมีการฟ้อน พอเราไปฟ้อนแล้วเราได้เงิน เป็นแรงจูงใจที่ชัดเจนมาก เราก็รู้สึกว่ามันเป็นอาชีพได้ เราก็เลยมาเรียนเพิ่มเป็นฟ้อนเล็บ ฟ้อนสาวไหม แล้วก็เรียนมาเรื่อยๆ เลยค่ะ ส่วนเรื่องของการร้องเพลง เราก็เน้นเรียนแบบลูกทุ่งไปเลยค่ะ เพราะว่าเราเริ่มหัดร้องด้วยตัวเองก่อนแล้วก็ไปประกวดที่โรงเรียน แล้วบังเอิญตอนไปประกวด เราได้ไปเจอกับครูป้อม ก็ขอเบอร์โทรเราไว้ แล้วครูก็โทรมาถามว่าเราอยากเรียนร้องเพลงไหม เราก็บอกว่าอยากเรียน แต่เราก็ไม่ได้มีเงินที่จะเอาไปจ่ายค่าเรียนอะไรขนาดนั้น ครูก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวครูสอนให้ฟรี ก็ไปเรียนแล้วก็พักอยู่ที่บ้านครู เราไปวันเสาร์ แล้วกลับมาที่บ้านวันอาทิตย์ ซึ่งระหว่างที่เรียน เราก็มีไปประกวดบ้าง เพราะคุณครูส่งประกวด ซึ่งพอเราไปประกวดแล้วเด็กๆ เห็น ก็มีเด็กๆ ตามมาเรียนกับคุณครูเยอะคะ
ถาม คุณพ่อคุณแม่และคุณครูพาเดินสายประกวด แล้ว AF นี่ใครพาหนิมมา
หนิม คนึงพิมพ์ : สำหรับเวทีนี้มาเองเลยค่ะ ด้วยความที่เราฝันอยากเป็นนักร้อง แล้วตอนที่เราเดินสายประกวด เราก็มีผิดหวังบ้าง แต่ก็มีเพื่อนมาชวนว่าไปประกวดเวที AF ไหม ตอนนั้นก่อนที่จะมาประกวดเราก็แอบรู้สึกกลัวๆ อยู่นะคะ เพราะเราผิดหวังมาจากอีกเวที ทำให้เรารู้สึกว่าหรือว่าเราไม่เหมาะกับการร้องเพลง เราไม่เหมาะกับอาชีพนี้แล้ว แต่เพื่อนก็บอกว่าอีกเวทีหนึ่งแล้วกัน เราก็เลยไปแบบไม่คิดมาก ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตอนที่ไปประกวดคือเริ่มจากระดับภาคก่อนค่ะ พอเราตัดสินใจไป เราก็ยังไม่บอกคุณพ่อคุณแม่ เพราะกลัวท่านเสียใจ จนเราได้เข้ารอบมาเรื่อยๆ จนถ่ายทอดสด คุณพ่อก็มาทราบตอนนั้นพร้อมเพื่อนๆ ข้างบ้าน เพราะเพื่อนบ้านดูทีวีอยู่ค่ะ
ถาม แต่พอผ่านเข้ารอบแล้วต้องกลายมาเป็นนักร้องลูกทุ่งนุ่งสั้น ทำให้คุณพ่อถึงกับโกรธเลย
หนิม คนึงพิมพ์ : ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่รักษาวัฒนธรรม เขาอยากให้แต่งตัวเรียบร้อย หวานๆ แล้วเวลาอยู่บ้านใส่กางเกงขาสั้น ต้องเสมอหัวเข่า สั้นกว่านั้นไม่ได้เลย แต่พอเราเข้ารอบแล้วต้องมาเป็นนักร้อง เราต้องแต่งตัวใส่กางเกงขาสั้น คือคุณพ่อโกรธมาก เพราะว่าเราเลือกเองเลยค่ะว่าเราจะใส่กางเกงขาสั้น เพราะเราจะอยากเปรี้ยว พอใส่ขาสั้น เรารู้สึกว่าเรามีพลัง แล้วคุณพ่อดูทีวี พอเห็นเราใส่กางเกงขาสั้น คุณแม่มาเล่าให้ฟังทีหลังว่าคุณพ่อจะโทรมาที่รายการว่าเอาชุดอะไรมาให้ลูกเขาใส่ แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ทำใจค่ะ เพราะว่าเรามาทางนี้แล้ว
ถาม และหลังจากที่เราออกจากบ้าน AF แล้วออกมาเป็นลูกทุ่งสายเซ็กซี่ คุณพ่อถึงขนาดพูดว่าไม่อยากจะเห็นลูกตัวเองเลย อยากจะหนีไปไกลๆ เลย
หนิม คนึงพิมพ์ : ใช่ค่ะ คุณพ่อเขาบอกว่าเขาเสียใจมาก เพราะเขาปลูกฝังให้เราเหมือนพี่ฝน ธนสุนธร แบบใส่ชุดเรียบร้อย แต่พอมาเห็นเราใส่ชุดเซ็กซี่สั้นๆ เขาก็ตกใจ ไม่เหมือนที่เขาคิดไว้ เขาก็รู้สึกเสียใจ แล้วยิ่งมีคนมาบอกว่าลูกสาวเซ็กซี่มาก เขายิ่งเสียใจไปอีก เขาก็บอกว่าเขาอยากหนีไปไกลๆ แต่ถามว่าเรารู้สึกยังไงก็เราชอบที่จะใส่แบบนี้ (หัวเราะ) แต่เราก็เปิดใจที่จะคุยกันนะคะ อธิบายให้คุณพ่อฟังว่าคำว่าเซ็กซี่ของคนสมัยนี้ อาจจะไม่เหมือนที่พ่อนิยามไว้นะ สำหรับเขามันดูแรง แต่คนทั่วไปก็ปกติสำหรับคำว่าเซ็กซี่
ถาม หนิมมีสัมผัสที่หก เป็นเรื่องประหลาด เพราะว่าอยู่วันหนึ่งเราก็สัมผัสได้
หนิม คนึงพิมพ์ : ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้เลย แต่โดยปกติเป็นคนที่ไม่กลัวผีนะคะ แต่พอมาได้เจอก็กลัว และด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบเรื่องลี้ลับแบบนี้อยู่แล้วด้วยมั้งคะ แล้วจุดเริ่มต้นคือเพื่อนของเราเช่าพระสมเด็จฯ มา แล้วเขาก็เอามาให้เราดู แล้วราคาค่อนข้างที่จะสูง เราก็เลยขอจับหน่อยได้ไหมว่าเป็นยังไง แต่ปรากฏว่าจับแล้วร้อนมือ เหมือนพระมีพลัง มีพุทธคุณ เหงื่อเราก็เริ่มแตก แล้วใจของเราก็สั่นไม่ปกติเลย เหมือนเราเจออะไรตื่นเต้นแล้วเหงื่อแตกแบบนั้นเลยค่ะ เราก็มีแอบสงสัยนะคะว่าเราเป็นอะไร แต่เราคิดว่าคงมาจากองค์พระแหละ เพราะว่าเกิดขึ้นทันทีที่เราจับเพราะเราก็เกิดอาการเวียนหัว แล้วอยากจะอาเจียน แล้วพอเพื่อนรับคืนไป เราก็เหมือนพลังตกลงเรื่อยๆ เริ่มเพลีย เริ่มไม่มีแรง อันนี้เราเข้าใจเอาเองนะคะ เหมือนเวลาที่เราใส่พระไปแล้ว เวลาที่เราไปคุยกับใคร แล้วเขาก็ตามเรา เหมือนพูดแล้วคนอื่นฟังแล้วเชื่อตาม เหมือนมันไม่มีสติคุยกับคนนี้ แล้วเหมือนพอเพื่อนรู้แล้วว่าพอจะซื้อหรือเช่าพระเอามาให้ หนิมดูดีกว่า ก็กลายมาเป็นหลายๆ องค์มาให้ดูให้เลือก องค์ไหนพลังแรงสุด เขาก็จะเลือกองค์นั้น เพราะเขาก็เชื่อเรา แต่อันนั้นคือจุดเปิดให้เราเหมือนมีการเปิดสวิตช์เกิดขึ้นค่ะ หลังจากนั้นเริ่มสัมผัสได้ว่าห้องนี้มีมวลสารอะไรบางอย่างนะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีความรู้สึกเลย สิ่งที่เราสัมผัสได้ อย่างเราอยู่ในห้องนี้ เราอยู่ไปได้สักพัก เราจะรู้สึกว่ามีใครมองเราอยู่หรือเปล่า อย่างในห้องเราล่าสุดเลยที่เราสัมผัสได้ เรารู้สึกว่าเหมือนมีคนมาจ้องเรา แล้วเราก็ไปพาเพื่อนมา เพื่อนก็บอกว่าเห็นมีคนนั่งอยู่ในมุมนั้นของห้องเรา แล้วเขาก็ทิ้งเรากลับบ้านไปเลย แล้วเราก็เริ่มกลัว ก็เลยชวนเพื่อนมานอนด้วย ปรากฏว่าพอเพื่อนกลับไป เขาก็ฝันร้าย จิตตกกลับไปเลย ซึ่งเรารับรู้ได้เลยว่าพลังงานที่อยู่ ณ ตอนนี้ คือพลังงานไม่ดี เพราะว่าเขามาบอกให้เราฆ่าตัวตาย เป็นช่วงที่เรายังลืมตาตื่นอยู่เลยค่ะ แล้วเราก็ได้ยินเสียงว่า เครียดเหรอ ไปโดดตึกสิ เสียงนั้นคือเสียงผู้หญิงเลยค่ะ ซึ่งพอเราได้ยินเสียงแบบนั้น อันดับแรกด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ในห้องของเราก็มีของขลังเยอะ ทั้งพระ ทั้งมีดหมอ แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราจิตตกมากจนดิ่ง เราจะไม่สามารถใช้ของขลังที่เรามีอยู่ได้เลย เราก็ได้ปรึกษาหลายๆ คน ทุกคนก็แนะนำว่าย้ายห้อง แล้วจบ
ถาม แล้วหนิมเคยถามใครไหมว่าผู้หญิงที่เขามาให้เราเห็น เขามาจากอะไร
หนิม คนึงพิมพ์ : ก็ถามค่ะ ก็มีคนบอกว่าผู้หญิงคนนี้เขาอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว แล้วบังเอิญว่าเขาจะเห็นเราในช่วงที่เราจิตตก แบบเราอาจจะคิดมากเรื่องงานพอดี เขาก็สามารถที่จะมาแทรกได้ แล้วพอเราย้ายห้องจากคอนโด เราก็มานอนที่บ้านเพื่อนเราก็ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่าขออยู่ด้วยได้ไหม เราก็ไม่ตอบ แล้วอีกคืนเขาก็มาอีกว่าขออยู่ด้วยได้ไหม เราก็บอกว่าเราไม่ใช่เจ้าของห้องให้ไปขอเจ้าของห้องดู แล้วอีกคืนคือนอนๆ อยู่เพื่อนก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา แล้วพอตื่นเช้าเขาก็มาเล่าให้เราฟังว่ามีคนมาขออยู่ เพื่อนก็ให้อยู่ แต่ต่างคนต่างอยู่นะ แต่เราไม่ได้เห็นไปหมดนะคะ เราจะเห็นเฉพาะบางคนที่เขาอยากสื่อกับเราจริงๆ
ถาม เพราะด้วยความที่เราสัมผัสและเห็นได้จริงๆ เลยทำให้หนิมเข้าไปสัมผัสกับการดูดวง
หนิม คนึงพิมพ์ : ตอนนี้ก็ดูด้วยการเปิดไพ่ยิปซีค่ะ สิ่งที่พาเราไปตรงจุดนี้เพราะว่าเราเจอบ่อย เราก็เลยไปหาพี่บี ซึ่งเขาก็เป็นหมอดูนะคะ เขาก็คุยกับพลังงานที่ไปเราด้วย ซึ่งตอนแรกที่ไป พลังงานที่อยู่กับเราคือพลังงานที่ไม่ค่อยดี พี่บีเขาก็เลยเคลียร์พลังงานนั้นให้เราว่ามาตามเราทำไม แล้วต้องการอะไร ซึ่งพลังงานนั้นบอกว่าหนิมเคยเป็นน้องสาวเขาในอดีตชาติแล้วเพิ่งมาเจอ แล้วเขาก็อยากไปเกิด แต่ไม่มีใครส่งบุญให้เขา มันเลยไปไม่ได้ แต่พอเขามาเจอเรา แล้วเป็นน้องสาวเขาก็เลยขอเข้ามาส่วนบุญกับเรา ช่วงนี้เราไม่ค่อยรู้สึกแล้ว คิดว่าเขาน่าจะไปแล้ว
ถาม แล้วการเป็นหมอดูของหนิมเป็นแบบไหน ระดับไหน
หนิม คนึงพิมพ์ : เพิ่งเริ่มต้นเองค่ะ ก็เลยดูแค่เพื่อนๆ ของเรา ซึ่งเราก็เริ่มต้นจากพี่บี เพราะว่าเขาเปิดสอนด้วย แล้วเขาก็บอกเราว่าเรามีสัมผัสตรงนี้ น่าจะเจอกับพวกเขาบ่อย เขาก็ให้เราเรียน แล้วก็เอาไว้คุยกับเขาเอง
ถาม กลัวไหมว่าคนจะมองว่าเรางมงาย
หนิม คนึงพิมพ์ : ถ้าเป็นเรื่องไพ่ เราจะไม่ได้ไปดูให้ใคร เราจะดูเพื่อคุยกับดวงจิตที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เพราะเราคุยกับเขาผ่านไพ่ อย่างไพ่ทาโรต์ เราก็ดูเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้เป็นยังไง สะท้อนเหตุการณ์ให้เราเห็น แต่ไม่ได้ชี้นำว่าเราจะต้องเลือกอะไร หรือทำอะไร เพราะเขารู้ว่าตัวตัดสินใจได้เองอยู่แล้ว
ถาม แต่เห็นว่าหนิมเคยเปิดที่จะรับดูดวงแต่ไปๆ มาๆ คือจะมาดูแม่หมอ
หนิม คนึงพิมพ์ : ใช่ค่ะ (หัวเราะ) จะมาจีบเลย เราก็เลยบอกว่าไม่ดีกว่า และเราก็มีเขียนคอนเทนท์ใน IG เป็นรายสัปดาห์บ้าง ยังไงก็ฝากติดตามทาง เฟสบุ๊ค หนิง คนึงพิมพ์ ด้วยนะคะ
Advertisement