ถ้าพูดถึงนักแสดงอารมณ์ดี พิธีกรอารมณ์ขัน ต้องยกให้ เอ๊าะ กีรติ คนนี้เลย ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้างเสมอ ล่าสุดเจ้าตัวมาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เปิดเรื่องลับที่โดนภรรยาจับได้ว่ามีกิ๊ก พร้อมเปิดมุมมองดีๆ อีกด้านของการใช้ชีวิต ที่หลายคนคาดไม่ถึง
เอ๊าะ กีรติ : เมื่อก่อนผมเคยเป็นนายแบบ เวทีที่ผ่านมาคือนิตยสาร The Boy แต่ดูจากตอนนี้ หลายๆ คนไม่เชื่อ เพราะบางอย่างเรารังไว้ไม่ได้ แต่เราก็ทำให้ชีวิตของเราสนุกเถอะ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นขึ้นมาหรือเปล่า
ถาม แต่ในความเป็นนายแบบ เป็นนักแสดงของเขา เอ๊าะ กีรติ ก็เป็นสายฮามาโดยตลอด
เอ๊าะ กีรติ : ชอบครับ เพราะว่าเป็นตัวของเรา ตอนเรียนก็เป็นแบบนี้ อยู่ในฝั่งของเด็กกิจกรรมมาตลอด เราชอบความสนุก
ถาม หน้าตาหล่อ ทำกิจกรรมเยอะ เมื่อก่อนต้องเป็นหนุ่มฮอตแน่ๆ
เอ๊าะ กีรติ : ไม่หรอก เป็นเพื่อนกันพอ มันใกล้กันเกินไป มันไม่สามารถอะไรได้ ถ้าทำกิจกรรมอันนี้อยู่แล้วเกิดมีเรื่องรักเกิดขึ้นมา แล้วถ้าเกิดมันเกิดอะไรขึ้น ทำให้กิจกรรมนี้ไม่สำเร็จ เราเลยไม่ยุ่งดีกว่า ก็จะไปต่างโรงเรียนหน่อย พอต่างโรงเรียนแล้วก็ลำบากเพราะเราจนไง
ถาม เมื่อกี้ใช้คำพูดว่าเราจนมาก เราจนขนาดนั้นเลยเหรอ
เอ๊าะ กีรติ : มันไม่สบายเหมือนในวันนี้ เทียบกันว่าลูกเราในวันนี้อยากได้อะไรได้หมดเลย แต่เราในวันนั้นตอนเป็นเด็ก เราไม่เคยได้อะไรเลย แม้กระทั่งเงินที่จะได้ไปโรงเรียน หรือเงินที่จะซื้อไอศกรีมหลังเลิกเรียน กลับบ้านก็นั่งรถสองแถวเข้าบ้าน พอกลับบ้านเราต้องกินข้าวคลุกน้ำปลา แต่มันไม่ได้เป็นชีวิตที่แย่นะ เป็นชีวิตที่มันทำให้ผมมีความสุขมาก แต่ผมมาเทียบกับลูกเราตอนนี้ เราไม่ได้สบายเหมือนตอนนี้ เราเลยพยายามทุกอย่างให้แม่สบายที่สุด
ถาม แรงบันดาลใจที่ทำให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงตอนนั้นคืออยากให้แม่สบาย
เอ๊าะ กีรติ : ผมไม่อยากเริ่มต้นจากอาชีพนี้นะ ผมอยากเป็นข้าราชการใส่สูท ทำงานเอกสาร เพราะว่าพ่อของเราเป็นข้าราชการ เราอยากเป็นอย่างนั้นมากกว่า แต่วันหนึ่งเราทำกิจกรรมอยู่ แล้วคุณภูลิตา บุญเสริม ชวนไปเป็นนายแบบ เราก็บอกว่าไม่ เพราะในยุคนั้น มีข่าวว่าใครที่จะเข้าวงการต้องเสียเนื้อเสียตัว ซึ่งมีข่าวแบบนี้เยอะมาก เราก็เลยเฉยๆ จนมาอีกรอบหนึ่ง เราก็เลยอะไรคือนายแบบ ก็พารุ่นพี่ไปซื้อนิตยสารมาดู แล้วเราก็ไม่มีเงินด้วยนะ เอาเงินรุ่นพี่ซื้อ พอเรามาเปิดดูก็รู้ว่ามีประกวดจริงๆ ก็เริ่มจากตรงนั้น ตอนนั้นอายุประมาณ 18-19 ครับ อเราก็เอาหนังสือพิมพ์กลับไปถามแม่ แม่ก็สนับสนุนเต็มที่เลยว่าเอาสิ เป็นประสบการณ์นอกชั้นเรียน พอเราได้ยินประโยคนี้จากแม่ เราก็ไปเลยทำเลย อะไรที่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในห้องเรียนมันทำไม่ได้ แม่บอกเราไว้แล้วว่ามีเงินจ่ายแค่ 4 ปี ต้องจบ แต่อนุญาตให้เราทำงานไปด้วยได้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ตั้งใจว่าทำยังไงก็ต้องจบ และต้องทำงานด้วย เพราะเราอยากหาเงิน เอากลับมาให้ที่บ้านให้ได้
ถาม ให้แม่เป็นคนเก็บเงินให้ทุกบาท
เอ๊าะ กีรติ : ตั้งแต่วันที่หาเงินได้จนถึงทุกวันนี้ แม่เขาจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ส่วนเราจะเป็นคนที่ดูสภาพคล่อง แม่จะเป็นคนที่บริหารเงินให้ เอาไปลงทุนต่างๆ ที่ดินทุกแปลง บ้านทุกหลังที่ซื้อ แม่จัดการหมด แล้วเราก็ขอเงินแม่ทุกวัน พอเราโตขึ้น เราก็ได้วันละ 1000 บาท เราจะขอเป็นวัน ที่เราทำแบบนี้เพราะว่าเดี๋ยวเราไม่มีเรื่องคุยกับเขาตอนเช้า นี่เป็นความตั้งใจของเรา คุณจะคุยอะไรกับแม่ เจอทุกวันตั้งแต่เล็กจนโต คำถามอะไรคือเรื่องที่คุยกันทุกวัน ถ้าไม่หาเรื่องคุยกับเขา เราจะเอาปัญหาไปคุยกับเขาไม่ได้นะครับ มันไม่ใช่หน้าที่ลูกที่จะคุยกับแม่ ตอนเช้าเราต้องทานข้าวด้วยกัน ห้ามเอามือถือเข้ามากินข้าวด้วย เรามีหน้าที่ต้องกิน ให้เขาได้คุยกับเรา และที่ให้คุณแม่เก็บเงินของเราทั้งหมด เพราะว่าเวลาคุณแม่จะใช้จ่ายอะไร เขาสามารถเอาไปจ่ายได้เลย แต่เวลาที่เราจะใช้จ่ายอะไรแล้วขอคือยากมาก แล้วมันก็ท้าทายเราขึ้นไปอีก เรื่องคุยมันมีนะ ชีวิตมนุษย์มันต้องหาเรื่องให้ชีวิต เรื่องที่ดีๆ หาเรื่องที่จะทำกับมัน อย่าปล่อยให้เวลาเลยไป เพราะอายุแม่กำลังเริ่มนับถอยหลัง เราก็กำลังเข้าสู่วัยถอยหลัง ลูกกำลังจะเดินหน้ามันต้องแมตช์มันได้หมดถามว่าพูดนี้คือเท่มาก ถามว่าทำยากไหม โคตรยากเลย แต่ถ้าเราทำได้ เราจะภูมิใจ
ถาม แล้วมีวันที่เศร้าของเอ๊าะ กีรติ คือวันไหนบ้าง มีเรื่องเล่ามาว่าภรรยาจับได้ว่ามีกิ๊ก
เอ๊าะ กีรติ : เรื่องเศร้ามีทุกวันอยู่แล้ว แต่ช่วงที่โดนจับได้คือโลกมืดเลย ซึ่งเราก็วางแผนไว้นานแล้วด้วย เราก็ดูว่าเราน่าจะได้กินเหยื่อที่เราเล็งไว้แล้วแน่นอน แต่ภรรยามาบุกจับก่อน คือเราแค่คุย แต่เราก็ลบทุกข้อความที่เราคุยกับคนนั้น ลบแต่ไม่ได้ยกเลิกข้อความ ซึ่งภรรยาของผมเขาไปทำวิธีไหนไม่รู้เขา ไปดึงข้อมูลตรงนั้นกลับมาได้ ซึ่งตอนที่เขาจับเราได้ก็นั่งคุยกันปกติอยู่แบบนี้เลย เขาถามว่าพี่เป็นอะไรหรือเปล่า เราก็บอกว่าพี่ไม่ได้เป็นอะไรเลย คือตอนที่เขาถามมันไม่มีเหตุของประโยคนี้ขึ้นมาเลย เท้าของเราคือเย็นเจี๊ยบขึ้นมาเลย จนเราต้องมอบตัว ซึ่งภรรยาก็บอกเราว่าพี่โกหกไม่เก่งเลยนะ อย่าโกหกเลย ซึ่งเราก็รู้เลยว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร เรากำลังจะสารภาพ แต่เขาก็บอกว่าไม่ต้องพูด เปิดให้ดูเลย แต่เรื่องนั้นมันก่อนแต่งงานนะครับ
ถาม แล้วเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กี่รอบ
เอ๊าะ กีรติ : ที่เป็นแบบนี้คือรอบเดียว เพราะตอนแรกเราคิดว่าเราจะไม่มีลูก ไม่แต่งงานอยู่แล้ว เราตั้งใจว่าจะโสด ทำงานอย่างนี้ ถ้าเราชอบกันก็อยู่ด้วยกันเลย ไม่มีงานแต่ง งานอะไร ก็ขอโทษผู้หญิงทุกคนด้วยนะครับ แต่มันก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดว่าเราอยากแต่งงานคือมีอยู่วันหนึ่งที่เราทำงานอยู่ ซึ่งเป็นงานที่ปิดโรงแรมหมดเลย พอเราทำหน้าที่เสร็จ เราเหนื่อยมาก ข้าวก็กินไม่ได้ น้ำก็กินไม่ลงเลย เสร็จคือเราก็มานั่งเป็นคนแบบช็อกอะไรสักอย่าง มันเหนื่อยเกินไป แล้วคุณก้อยก็นั่งอยู่ข้างๆ เรา แล้วผมก็พูดว่าแต่งงานกันไหม เขาก็คงเหนื่อยด้วยก็เลยตอบเราว่า เออ ซึ่งตอนที่บอกคือไม่ได้มีความโรแมนติก ไม่ได้มีความอะไรเลย แล้วเราก็ไม่ได้คุกเข่าบอกเขาด้วยว่าเราจะแต่งงาน แต่เราก็รักษาคำพูด แล้วเราก็กลับมานั่งนึก มันคงถึงเวลาจริงๆ เพราะประโยคนี้มันไม่น่าออกมาจากปากของเอ๊าะได้เลยแน่นอน แล้วก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีค่ามาก ในวันที่เราสบาย เขาไม่เคยอยู่เลย แต่วันที่เราทุกข์ยาก ไม่มีเงินเลย เขานั่งอยู่ แล้วเขาเป็นคนไม่เคยโทรตามเลยตั้งแต่เป็นแฟน จนเราแบบไม่โทรไม่ถามเลยเหรอ แต่ทุกวันนี้ โทรทุกวัน โทรทั้งวันเลย (หัวเราะ)