ชาวสวนจังหวัดอุทัยธานี เร่งเก็บ มะม่วงน้ำดอกไม้ ส่งออกขาย 4 ประเทศ สร้างรายได้หลักแสนถึงหลักล้าน
ที่จังหวัดอุทัยธานีช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลผลไม้สีทองและเป็นช่วงโกยเงินอย่างมะม่วง ที่ขณะนี้เริ่มให้ผลผลิตแก่ชาวสวนที่ทำสวนมะม่วง โดยเฉพาะสวนมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองขายกันอย่างคึกคัก และสามารถเริ่มกลับมาทำการส่งออกต่างประเทศได้อีกครั้ง ทำให้ในช่วงนี้ชาวสวนที่ทำมะม่วงส่งออกต่างประเทศต่างเร่งกันจัดเตรียมผลผลิตเพื่อส่งออกกันอย่างกันอย่างคึกคัก
จังหวัดอุทัยธานีมีกลุ่มเกษตรกรที่ทำสวนมะม่วงแปลงใหญ่ด้วยกัน 2 อำเภอ คือ อำเภอทัพทัน และอำเภอลานสัก จำนวนหลายพันไร่ ส่งผลผลิตอย่างมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองออกไปสู่ต่างประเทศมากถึง 4 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นสวนผ่านการรับรองคุณภาพและมาตรฐาน GAP(GoodAgriculturalPractices:GAP) คือ ผลผลิตที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนดโดยขบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมี ไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และได้ผลผลิตที่คุ้มค่ากับการลงทุน การทำมะม่วงแปลงใหญ่จึงถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างอาชีพให้กับกลุ่มเกษตรกรชาวสวนได้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งช่องทางสามารถสร้างรายได้ต่อการเก็บผลผลิตในหนึ่งครั้งตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาทต่อสวนอีกด้วย
อย่างเช่นที่สวนของนายอำพัน ล้อจงเฮง อายุ 69 ปี หนึ่งในเกษตรกรชาวสวนมะม่วงแปลงใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกเริ่มต้นการทำสวนมะม่วงเป็นเจ้าแรกของอำเภอทัพทัน โดยประกอบอาชีพทำสวนมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนี้มานานกว่า 40 ปี ในเนื้อที่ 31 ไร่ โดยที่สวนจะมีมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะทำการแยกจำหน่ายด้วยกัน 3 ตลาด คือ ตลาดส่งออก ตลาดขึ้นห้าง และตลาดผลไม้ทั่วไป
ตลาดส่งออกและขึ้นห้างนั้นจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จะมีเปลือกและเนื้อที่แข็งกว่าและไม่ช้ำง่าย ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 จะมีเปลือกบางและเนื้อหวานฉ่ำ ส่วนราคาส่งออกนั้นยังไม่ทราบราคาที่แน่ชัด เนื่องจากเพิ่งเริ่มเก็บผลผลิตคัดแยกและบรรจุให้ทำการตรวจสอบสินค้าก่อนทำการส่งออก โดยเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาราคาส่งออกที่ได้มาคือ กิโลกรัมละ 150 บาท ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 จะขายที่ราคากิโลกรัมละ 35 บาท
นายอำพัน กล่าวว่าปีนี้ที่สวนเพิ่งเริ่มทำการเก็บผลผลิตกันได้ เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตออกช้า ซึ่งโดยปกติแล้วมะม่วงที่สวนนั้นจะสามารถเก็บส่งขายได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ประกอบกับช่วงปีที่ผ่านมาเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่มีการส่งออก ซึ่งตอนนี้เริ่มกลับมาส่งออกได้อีกครั้ง จึงหวังว่าให้ฤดูกาลนี้จะสามารถส่งออกมะม่วงไปจำหน่ายให้กับประเทศต่างๆ ได้ตามที่หวังไว้ โดยตอนนี้ทุกคนที่มีผลผลิตต่างก็เร่งทำการเก็บผลผลิตที่มีออกมาคัดแยกและบรรจุลังส่งไปยังศูนย์กลางแปลงใหญ่ที่จะมีบริษัทส่งออกเข้ามาทำการตรวจสอบมะม่วงอีกครั้งว่าตรงตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่
ข้อดีของการรวมกลุ่มแปลงใหญ่ก็คืออย่างน้อยมีตลาดรองรับแม้จะยังอยู่กับวงจรพ่อค้าคนกลางทำให้ไม่สามารถตั้งกำหนดราคากันเองได้ เนื่องจากในพื้นที่ของเรายังไม่สามารถที่จะทำการเก็บผลผลิตได้ตลอดช่วงตามที่ตลาดต่างประเทศต้องการ แต่ก็ยังดีกว่าที่แต่ละสวนต้องออกไปวิ่งหาตลาดกันเองและไม่ต้องกังวลว่าผลผลิตจะขายไม่ออกจนเหลือทิ้งเสียหาย ขอแค่ดูแลผลผลิตให้ดีมีคุณภาพก็สามารถขายออกได้อย่างแน่นอน โดยหากปีนี้ไม่เกิดภัยแล้งหนักซ้ำ และไม่หยุดการส่งออกกะทันหัน ทุกสวนจะสามารถเก็บผลผลิตขายได้ดีอย่างแน่นอน