จากกรณีเด็กชายอายุ 12 ปี เรียนชั้น ป.5 ถูกลวงขึ้นรถจักรยานยนต์ ช่วงเวลาประมาณบ่าย 15.00 น. ของวันที่ 9 มี.ค. 64 โดยน้องพี (นามสมมติ) เพิ่งเลิกเรียน แล้วเดินจะกลับวัด เพราะน้องอาศัยอยู่ที่วัด เป็นลูกศิษย์พระ ถูกนายแจ็ค (นามสมมติ) อายุ 15 ปี หลอกให้พาไปปะยางรถจักยานยนต์ แต่กลับขับพาไปทำร้ายร่างกายกลางป่าหวังกระทำอนาจาร แต่เด็กวิ่งหนีรอดตายมาได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทรชนวัย 16 ลวงเด็กชายป.5 ขืนใจ หินทุบหัว - เหล็กฟาด เหยื่อซุกผนังหนีตาย ชาวบ้านแฉวีรกรรมอื้อ
วันที่ 12 มี.ค. 64 เวลาประมาณ 13.30 น. นายแจ็คจะถูกนำตัวส่งไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ ทีมข่าวจึงเดินทางไป สภ.เทพสถิต พบว่านายแจ็ค และแม่นั่งอยู่ในรถห้องขังแล้ว ทีมข่าวได้พยายามสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทั้งคู่ไม่ตอบ
เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลว่า นายแจ็คยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าได้ก่อเหตุจริง แต่เหตุผลไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สามารถบอกได้ว่านายแจ็ดคเป็นเด็กที่มีอาการสมาธิสั้น ต้องกินยารักษาอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่นายแจ็ค ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตัวไปส่งยังศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลจังหวัดชัยภูมิ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม ส่วนจะถูกส่งตัวไปยังสถานพินิจเมื่อไรนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางมาที่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นบ้านของนายแจ็ค (นามสมมติ) ผู้ก่อเหตุ พบกับนางตั้ม (นามสมมติ) ป้าของนายแจ็ค ที่อาศัยอยู่บ้านใกล้เคียง บอกว่า ตนไม่ค่อยถูกกับนายแจ็ค เนื่องจากนายแจ็คเป็นหลานที่ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่ ตนไม่ทราบข่าวที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่านายแจ็คไปทำอะไรใครไว้ ตนจึงตอบไม่ได้ว่าก่อเหตุจริงหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบนายแจ็คก็ไม่ค่อยจะก่อปัญหาในหมู่บ้าน
ขณะที่มีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายแจ็ค ผู้ก่อเหตุ กับเพื่อน ซึ่งเพื่อนมีการเตือนว่าอย่าทำร้ายเด็กรุนแรงขนาดนั้น นายแจ็คก็รับว่าก่อเหตุจริง แต่เด็กชายมีการขี่หลังก่อน
นางสาวอัง (นามสมมติ) ชาวบ้านในหมู่บ้าน เปิดเผยว่า นายแจ็คเป็นบุคคลอันตราย เนื่องจากเป็นคนสติไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เกิด ชอบทะเลาะกับแม่ และชอบประดิษฐ์สิ่งของ นำซากเหล็กซากไม้มาประกอบต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องตัดหญ้า โดยนายแจ็ค มักจะชอบโวยวายขณะเดินทั่วหมู่บ้าน บางครั้งใครพูดจาไม่เข้าหูก็มักจะปาสิ่งของใส่ หรือด่าแล้วเถียงกลับ หนักสุดถึงขั้นถือมีดวิ่งไล่คน แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครจนได้รับบาดเจ็บ
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง 90% แต่ตนก็ไม่อยากจะเชื่อว่านายแจ็คจะก่อเหตุอนาจารเด็ก เพราะไม่เคยก่อเหตุลักษณะนี้มาก่อน ขณะนี้ชาวบ้านต่างมองว่านายแจ็คอันตรายมากกว่าเดิม ตนไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน เนื่องจากปกติเขาจะไม่ค่อยอยู่บ้าน หลายวันจึงจะกลับมาสักครั้ง หากเป็นไปได้ตนก็อยากจะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพาไปรักษาอาการทางจิต
พ่อของนายแจ็ค ผู้ก่อเหตุ บอกว่า ลูกชายมีอาการป่วยตั้งแต่อายุได้ประมาณ 9 ขวบ เคยผ่าตัดผนังหัวใจมาก่อน อาการทางจิตของลูกชายคาดเดาไม่ได้ อยู่ดี ๆ ก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและโวยวายเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อยู่ไม่นิ่ง ชอบเดินไปเดินมา ชอบรื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วประกอบใหม่ ต้องกินยาอยู่ตลอด ตนสั่งสอนลูกชายอยู่ตลอด แต่เมื่อลูกชายโตขึ้นเข้าสู่ภาวะวัยรุ่น ลูกชายก็เริ่มไม่เชื่อฟัง ชอบออกไปเถลไถลนอกบ้าน ไม่กลับบ้าน ตามตัวไม่ได้
ส่วนตนและภรรยาก็ต้องออกมาทำงาน ทำให้ไม่สามารถสอดส่องลูกชายได้ตลอดเวลา ตนต้องรับจ้างทำงานหาเงิน ตนไม่สามารถเฝ้าลูกชายตนได้ทั้งวัน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิด ตนคาดว่าลูกชายตนไม่สามารถควบคุมจิตของตัวเองได้ การก่อเหตุถอดเสื้อกับบุคคลอื่นเช่นนี้ ตนไม่เคยเห็นลูกชายกระทำมาก่อน เนื่องจากปกติตนจะเห็นแต่ลูกชายหงุดหงิดโวยวายถอดเสื้อตัวเอง ตนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตนไม่ขอแก้ต่างใด ๆ หากลูกตนผิดก็ว่าไปตามผิด อย่างน้อยลูกของตนก็จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ตนเสียใจและขอโทษต่อครอบครัวของเด็กชายผู้เสียหาย ตนและภรรยาไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับลูกชาย ตนเชื่อว่าเด็กที่เสียหายโชคดีมีพ่อแม่ดูแล และตนเชื่อว่าเขาจะได้บทเรียนว่า "อย่าไปไหนกับใครอีก" ขณะนี้ตนจุกอยู่ในอก พูดอะไรไม่ถูก ตนเป็นพ่อ ตนพยายามแล้ว พยายามทำงาน หาเงินให้ลูกมีกินได้เรียน เมื่อเรื่องเกิดแล้วตนก็ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม "คนเสพข่าว อย่าหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน คุณรู้ได้ยังไงว่าไม่สอน สอนแล้ว แต่ลูกเชื่อแต่ความคิดของตัวเอง ลูกชายไม่เหมือนเด็กทั่วไป"
ทีมข่าวได้เดินทางมายัง อ.ซับใหญ่ จ.ชัยภูมิ นางพรทิพย์ แม่ของเด็กผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ลูกชายมีแผลถลอกบริเวณหัวเข่าและข้อศอกทั้ง 2 ข้าง รวมถึงศีรษะและใบหน้า มีแผลเย็บบริเวณศีรษะ 2 เข็ม อาการของลูกชายดีขึ้นตามลำดับ กินข้าว นอนหลับ มีอาการปวดบ้างเป็นบางครั้ง ยังคงต้องกินยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อ ยังคงตื่นคนไม่กล้าพบเจอใคร ไม่อยากพูดคุยกับใคร คาดว่าน่าจะอายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่อยากอยู่คนเดียว อยากอยู่กับแม่ตลอดเวลา ตนออกไปไหนลูกชายก็จะโทรศัพท์ตามให้กลับบ้าน
ตอนนี้ตนเป็นห่วงลูกชายว่าจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน เนื่องจากลูกชายต้องหยุดเรียนจนกว่าสภาพจิตใจจะหายเป็นปกติ ตนกลัวว่าลูกชายจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้อีก กลัวว่าลูกชายจะกลายเป็นคนขี้ระแวง กลัวคนจะเข้ามาทำร้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจ ตนเคยดูข่าวของลูกคนอื่นตนก็รู้สึกสงสาร แต่นี่เกิดขึ้นกับลูกตัวเอง ตนรับไม่ได้ ตนได้ฟังเรื่องราวจากปากของลูกชาย ตนได้แต่คิดภาพตาม ซึ่งภาพก็ยังคงติดอยู่ในหัว ผู้ก่อเหตุพาลูกชายของตนไปทุบตี บีบคอลูกชายตน จนลูกชายตนไม่มีเสียง จับลูกชายตนถอดเสื้อผ้า โดยไม่พูดไม่บอกอะไร ทุบตีลูกชายตนจนเลือดอาบทั่วตัว จนต้องไปหลบในบ้านคนที่ไม่รู้จัก ตนได้แต่คิดว่าในวันเกิดเหตุ ถ้าลูกชายตนถูกสุนัขกัดจะเป็นอย่างไร วันนั้นลูกชายตนจะหนาวไหม ขนาดตนยังคิดย้อนวนไปวนมา แล้วลูกชายของตน เขาจะคิดย้อนไปมาขนาดไหน จิตใจลูกชายตนจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ผู้ปกครองของอีกฝ่ายได้ติดต่อมาหาตนแล้วเมื่อวานนี้ อ้างกับตนว่าผู้ก่อเหตุเป็นเด็กพิเศษ ต้องกินยา แต่ขาดยามาตั้งแต่เดือนมกราคม โดยตนได้บอกไปว่า "ทำไมตั้งแต่เกิดเหตุ ไม่เคยติดต่อมา จนกระทั่งเป็นข่าวถึงยอมติดต่อมาพูดคุย" วันแรกที่ตนไปแจ้งความ อีกฝ่ายบอกว่าผู้ก่อเหตุอยู่บ้านทั้งวัน ตอนนี้คำขอโทษไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว ขณะนี้อีกฝ่ายไม่สามารถอ้างกับใครได้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นเด็กสติไม่ดี เพราะทุกอย่างย้อนกลับไปหาพ่อกับแม่ที่ไม่ดูแลลูกให้ดีตั้งแต่แรก
นอกจากนี้ ผู้ก่อเหตุยังได้ทักแชตเฟซบุ๊กมาหาตน กล่าวอ้างว่าลูกชายตนทำให้เขาบันดาลโทสะ แล้ววอนขอให้ตอนยอมความ ไม่ปรับเงิน ไม่แจ้งความ ซึ่งตนคิดว่าคงไม่สามารถยอมความได้ เนื่องจากหากลูกของตนเสียชีวิตจะเป็นอย่างไร แล้วถ้ากลับกันเป็นอีกฝ่ายที่เสียชีวิต พ่อแม่อีกฝ่ายจะว่าอย่างไร จากนี้ตนต้องรอให้สภาพจิตใจของลูกชายดีขึ้นก่อน แล้วจะพากลับไปเรียน เนื่องจากตนเกรงว่าลูกชายจะถูกเพื่อนล้อ ตนขอขอบคุณสื่อฯ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเหลือลูกชาย ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจายอมความกับอีกฝ่าย และตนหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถรักษาอาการต่าง ๆ ของผู้ก่อเหตุได้
โดยแชตการสนทนาที่นายแจ็ค อ้างว่าเด็กชายพีเป็นฝ่ายขอติดรถและไม่ยอมลงจากรถจักรยานยนต์ ยอมรับว่าตบไป 2 ครั้ง เพราะเด็กชายพีด่าทอถึงบุพการี ทำให้ยอมไม่ได้ ยืนยันว่าไม่หนี เพราะเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำต้องกล้ารับผิด
อีกทั้งบทสนทนาในตอนท้าย นายแจ็คบอกขอร้องให้อย่าเอาความกับตัวเอง อย่าแจ้งความ อย่าปรับเงิน เรื่องแค่นี้ยอมความกันได้ พร้อมได้ถามไถ่อาการของเด็กชายผู้เสียหาย