กรณีหญิงสาวรายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าโดนดาราชายชื่อดัง ท็อป ณฐกร มาขอคบหาเป็นแฟนอยู่ 2 ปี โดยผู้ชายเซ็กซ์จัด ไม่ใส่ถุงยาง แถมยังมารู้ทีหลังว่าเจ้าตัวมีครอบครัวแล้ว ทำให้เกิดมีปากเสียงกันในเรื่องที่ฝ่ายหญิงแค่จะถ่ายรูปเล่นเฉย ๆ แล้วฝ่ายชายเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว ทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอจนเกือบตาย สุดท้ายต้องไปแจ้งความเอาผิด
ทั้งนี้ น.ส.ณัฐฐา (นามสมมติ) อายุ 30 ปี เปิดเผยว่า ตนรู้จักดาราชายมานาน เพราะตนทำงานเบื้องหลัง กระทั่งปี 61 ดาราชายแอดเฟซบุ๊กมาคุยทำนองจีบ กระทั่งวันที่ญาติเสีย ตนเสียใจก็มีฝ่ายชายมาให้กำลังใจ ใส่ใจมากเป็นพิเศษ จนทำให้ได้คุยกันมากขึ้น กระทั่งปี 2562 ได้ไปกินข้าวกัน ตนเมาเพราะดื่มเยอะ ฝ่ายชายขับรถมาส่งที่ห้องระหว่างทางเจอตำรวจ ซึ่งฝ่ายชายก็บอกตำรวจว่า "ไปส่งแฟนผมครับ" ตนก็ตกใจ เพราะยังไม่เคยตกลงกันเลย ระหว่างที่ถึงห้องแล้วกำลังจะลงรถ จากนั้นความรู้สึกก็คือถูกปล้ำบนรถ และฝ่ายชายก็มีเซ็กซ์ไม่ป้องกัน แล้วบอกว่า "เป็นแฟนกันนะ จะรับผิดชอบ จะดูแล"
หลังจากนั้นฝ่ายชายก็ทำให้ไว้ใจ และไม่ได้หายไปไหน ตนก็รู้สึกว่าโอเค กระทั่งวันหนึ่งมีคนมาตักเตือนให้ระวัง ตนเคยแอบเข้าไปดูอินสตาแกรมแล้วเจอรูปผู้หญิงมีการโพสต์หลายปีแล้ว ตอนนั้นไม่ได้แปลกใจ แต่ต่อมาเจอรูปเด็ก โทรไปสอบถามฝ่ายชาย จึงได้คำตอบว่ามีลูกแล้ว และติดต่อกับแฟนเก่าในฐานะแม่ของลูก ทำธุรกิจร่วมกันเท่านั้น
จากนั้นฝ่ายชายกระทำรุนแรงจนเจ็บตัว ตนกลัวจึงร้องให้คนช่วย ฝ่ายชายไม่พอใจ ตะคอกใส่ว่า "มึงจะเอาอย่างงี้ใช่ไหม" ขึ้นคร่อมจนตนขยับตัวไม่ได้ และถูกบีบคอ ปิดปาก ปิดจมูก หายใจไม่ออก ตะโกนครั้งสุดท้ายว่า "หายใจไม่ออก" ตอนนั้นคิดถึงแม่ ตนทำอะไรผิด แค่ถ่ายรูปแฟนเก็บไว้ ซึ่งสุดท้ายฝ่ายชายยอมปล่อย จึงคิดได้ว่าที่ผ่านมาตนคงถูกหลอกให้รัก
ล่าสุดวันที่ 14 มี.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มีโอกาสได้พูดคุยกับ “ท็อป-ณฐกร ไตรกิศยเวช” นักแสดงหนุ่มวัย 35 ปี หนึ่งในบุคคลที่กระแสโซเชียลฯ พากันโยงว่าเป็นดาราชายคนดังกล่าว ตนยืนยันว่ารู้จักกับสาวปริศนาคนนี้จริง เธอเป็นคนในวงการบันเทิงและมีอายุเหยียบ 40 ปีแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะให้ข้อมูล ก็คงสามารถให้ได้แค่บางส่วน เพราะ 2 เหตุผล คือ กลัวว่าจะมีผลต่อรูปคดี และมองว่าบางประเด็นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใจหนึ่งก็อยากให้สังคมรับรู้ความจริงจากปากตนเหมือนกัน เพื่อไม่ให้ตัดสินว่าตนเป็นคนไม่ดี
ทั้งนี้ตนมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้จริง เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ก็มีการไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปกินข้าว มีการจับมือถือแขนตามที่เขาพูดทุกอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่ตนอยากจะชี้แจง คือ เรื่องของโลก 2 ใบ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พร้อมอธิบายว่าในวันนั้นตนนอนหลับอยู่บนเตียง และมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดร่างกายอยู่ ซึ่งไม่รู้เลยว่าสามารถปิดส่วนไหนได้บ้าง แล้วตื่นขึ้นมาก็เห็นโทรศัพท์ของฝ่ายหญิงวางอยู่บนเตียง และเห็นว่ากล้องเปิดอยู่ จึงหยิบขึ้นมาไม่ได้มีการยื้อแย่งใด ๆ ปรากฎว่าในอัลบั้มภาพมีการบันทึกภาพอนาจาร คลิปตอนที่มีเพศสัมพันธ์กัน ประกอบกับแชทต่าง ๆ ซึ่งตนไม่สามารถลบได้หมดจริง ๆ โดยฝ่ายหญิงบอกกับสื่อว่าเป็นการเก็บโมเมนต์น่ารัก ตลก ๆ
"ทั้ง ๆ ที่คุณทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ก็ควรจะรู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ มันคือเรื่องแปลก ไม่ได้แสดงถึงความเป็นห่วงกัน แต่กลับกันถ้าโทรศัพท์คุณหาย แล้วภาพและคลิปเหล่านี้มันหลุดขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น" คุณท็อป กล่าว
ทั้งนี้ “คุณท็อป” ยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ศึกษาดูใจกัน ตนไม่มีการทำร้ายร่างกายสาวคนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้มีการบีบคอ ยันหน้าอก หรือเอาเข่ากด เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง คงต้องมีถึง 4 มือ และที่สำคัญคือไม่มีการใช้นิ้วฝ่ายหญิงสแกนโทรศัพท์ตามที่เขาให้ข่าวด้วย แต่ที่บอกว่าตนเป็นนักกีฬาทีมชาตินั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตนเรียนทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กจริง
ส่วนประเด็นที่สาวปริศนาคนนี้บอกว่า ถูกตนหลอกให้มีเซ็กซ์ด้วยกันมาถึง 2 ปีนั้น “คุณท็อป” ก็ขอถามกลับว่า “ถ้าเป็นการโดนหลอก คุณจะยอมโดนหลอกทั้ง 2 ปีเลยเหรอ” เชื่อว่าไม่มีใครจะยอมโดนอะไรแบบนี้นานขนาดนั้น แต่สิ่งที่ตนทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ปิดบัง หรือทำด้วยความไม่จริงใจตามที่เขาให้ข้อมูล แต่จากที่ได้ย้อนไปดูคลิปสัมภาษณ์ของฝ่ายหญิง ที่เขาบอกประมาณว่า “ไม่ได้ต้องการอะไร เพียงแค่ไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อ” ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แต่กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “คุณท็อป” ได้ยินจากปากเขาในวันที่นัดไกล่เกลี่ย ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการมันมากว่าที่เขาพูดออกสื่อแน่นอน ไม่ใช่คำขอโทษ
แต่จะเป็นเรื่องของการเรียกร้องเป็นจำนวนเงินตามที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ กรณีหรือเปล่านั้น “คุณท็อป” บอกได้แค่ว่า “ผมไม่พูด!” แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเงินจริง ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากตนไม่ได้ทำร้ายร่างกายจริง และก็จะสู้จนถึงที่สุดเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับลูกตนด้วย ดังนั้นเจตนาของคน ๆ นี้ไม่ตรงกับที่พูดแน่นอน “บางทีคำพูดบางอย่างมันทำร้ายคุณ ด้วยความเป็นห่วงจากคนที่เคยรู้สึกดีด้วยกัน จึงอยากบอกว่าอย่าทำแบบนี้เลย มันไม่มีอะไรดีหรอก”
ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับ น.ส.ณัฐฐา (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ยอมรับว่า ในฐานะคนเป็นแฟนกัน ก็ให้คำปรึกษาเรื่องของการทำธุรกิจและการทำมาหากิน โดยตอนนั้นตนต้องการที่จะลงทุนเรื่องของการขายครีมและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ แต่จะมีทุนอยู่ที่ประมาณ 100,000 - 200,000 บาท ดังนั้นตนจึงได้ปรึกษาและพูดคุยกับฝ่ายชาย ซึ่งอ้างว่าจะมีการลงทุนและสนับสนุนเงินดังกล่าว แต่จนถึงทุกวันนี้ตนก็ยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแม้แต่บาทเดียว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกว่าเป็นการนำภาพถ่ายลับ ไปใช้ในการเรียกเงิน จำนวน 200,000 บาท
ขณะที่เรื่องของการตั้งข้อสังเกตการถ่ายภาพคู่ หรือภาพลับ แม้แต่ภาพที่เป็นโมเมนต์ส่วนตัว เป็นภาพที่ฝ่ายชายอ้างว่าถูกถ่ายขณะที่เผลอหลับ เป็นการแอบถ่ายเพื่อแบล็กเมลนั้น น.ส.ณัฐฐา ชี้แจงว่า ด้วยฐานะคนที่เป็นแฟนกัน คบหากันมากกว่า 2 ปี การถ่ายภาพนิ่งหรือคลิปวิดีโอสั้น ๆ ช่วงที่ฝ่ายชายนอนหลับ กรน หรืออากัปกิริยาอื่น ก็เป็นเรื่องปกติในฐานะคนเป็นแฟนกัน ซึ่งไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ถ้าหากโยงว่านำไปเกี่ยวข้องกับการแบล็กเมลหรือดิสเครดิต ตนอยากจะให้มองว่า หากคนจงใจที่จะดิสเครดิต ก็คงจะทำหรือเผยแพร่ภาพตั้งแต่ช่วงแรกที่รู้จักกัน คงไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาผ่านไปนานพอสมควร แล้วเลือกที่จะออกสื่อในช่วงระยะหลัง
ดังนั้นการถ่ายภาพในโมเมนต์ส่วนตัว จึงเรียกว่าเป็นการกระทำในฐานะแฟนกัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายเพื่อจะนำไปเผยแพร่ การถ่ายคลิปหรือภาพนิ่งเป็นเพียงแค่การเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะต้องจากกันเมื่อไร แต่การเก็บช่วงเวลานั้นเอาไว้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในชีวิต ไม่ได้มีเจตนาอื่น ทำลงไปเพราะคนเป็นแฟนกันเท่านั้น
น.ส.ณัฐฐา กล่าวด้วยว่า ตนยอมรับว่ามีการพูดคุยกับผู้ใหญ่ในวงการจริง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการแฉ หรือนำข้อมูลส่วนตัวไปพูด แต่การพูดคุยแต่ละครั้งเพื่อจะปกป้องในฐานะสิทธิ์ของผู้หญิงที่ถูกฝ่ายชายกระทำ หรือดูถูกความเป็นผู้หญิง ซึ่งผู้ใหญ่ในวงการต่างให้กำลังใจ และคอยบอกว่าสู้ ๆ และให้เดินหน้าต่อไป โดยทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งตนเพียงแค่ต้องการกำลังใจจากผู้ใหญ่ในวงการเท่านั้น แต่ไม่มีเจตนาที่จะนำเรื่องราวของฝ่ายชายไปแฉให้คนในวงการรู้
นอกจากนี้ น.ส.ณัฐฐา ยังได้เปิดรูปให้ทีมข่าวดู เป็นภาพที่มีรอยเล็บบริเวณแขน มีรอยช้ำตามตัว และบริเวณหัวเข่า ส่วนบริเวณข้อศอกเป็นรอยแผลสด และยืนยันกับทีมข่าวว่าเป็นฝีมือของฝ่ายชาย และยังใช้กำลังบีบคอ ส่วนภาพที่ถ่ายก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะนำมาแฉ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนถ่ายเอาไว้ให้ ในวันที่เดินทางไปแจ้งความที่โรงพักโชคชัย ในวันที่ 30 พ.ย.63 ยืนยันย้ำอีกครั้งว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของฝ่ายชาย ไม่ได้เกิดจากเหตุอื่น อย่างไรก็ตาม เรื่องของกระบวนการหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับทีมทนายเจมส์ เพราะตนก็ให้ข้อมูลพร้อมให้ความร่วมมือทุกเรื่อง และจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต ทนายความอิสระ กล่าวว่า ในการเจรจาไกล่เกลี่ยกัน มีการเรียกร้องเงินจำนวนนั้นจริง และเป็นการพูดต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะตอนนั้นฝ่ายหญิงมีความรู้สึกว่า เจ้าตัวเสียหาย จึงดำเนินการเรียกร้องเพราะเจ้าตัวถูกทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายมีสิทธิ์เรียกร้องไป อีกฝ่ายไหวเท่าไรก็มาพูดคุยกัน ไม่ใช่เป็นการข่มขู่หรือว่าจะไปประจาน แบล็กเมลอะไร
อีกทั้งทางคู่กรณีให้การปฏิเสธว่า “ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย” ก็เป็นสิทธิ์ของอีกฝ่าย แต่ตนเชื่อในพยานหลักฐานว่า มีการทำร้ายร่างกายกันจริง แต่เหตุการณ์ที่อยู่ในห้องมีเพียงคน 2 คนเท่านั้นที่รู้ ตนดูตามหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถ่ายภาพไว้ และทางโรงพยาบาลมีใบรับรองชันสูตรออกมาแล้วว่า มีการทำร้ายร่างกายกันจริง และยังมีพยานแวดล้อมอีกต่าง ๆ ที่สามารถมาเอาความผิดได้
ส่วนประเด็นที่หลาย ๆ คนสงสัยกันว่า ผู้ชายมาหลอกผู้หญิงและมีความสัมพันธ์กัน ตรงนี้สามารถเอาผิดได้หรือไม่ เอาผิดทางกฎหมายไม่ได้ เพราะคน 2 คนตกลงคบหากันนั้น เป็นความพอใจทั้ง 2 ฝ่ายและบรรลุนิติภาวะแล้ว เว้นแต่ว่าฝ่ายหญิงมีอายุไม่เกิน 15 ปี อันนี้กฎหมายคุ้มครอง ต่อให้ผู้หญิงยินยอมก็มีความผิด
ในกรณีที่ฝ่ายชายกล่าวอ้างว่า ผู้หญิงมักถ่ายรูปถ่ายคลิปเก็บไว้เพื่อที่จะแบล็กเมล ตลอดระยะเวลาที่คบหากันมา ไม่มีภาพใด ๆ เลยที่หลุดออกมาในสื่อ หลังจากที่มีเรื่องกันแล้วก็ยังไม่ได้มีภาพปรากฏออกมา การคบหากันเป็นแฟน มีความรักต่อกันเก็บภาพความทรงจำกันไว้ถือเป็นเรื่องปกติ ตนไม่ได้มองว่าเป็นการแบล็กเมลแต่อย่างใด