จากกรณีที่
"น็อต" อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล นักแสดงและพิธีกรวัยรุ่น เจ้าของฉายา
น็อต กราบรถ ที่ได้ใช้กำลังทำร้าย ตบนาย
"บอย" กิตติศักดิ์ สิงห์โต คู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ราคาแพง ยี่ห้อมินิ พร้อมบังคับให้ยกมือกราบรถ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2559 หลังจากที่พิธีกรหนุ่มคิดว่าคู่กรณีชนแล้วหนี จนเป็นกระแสโด่งดังในโลกออนไลน์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 14 พ.ค. อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้ยื่นฟ้อง "น็อต"อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปแล้ว ส่วนที่คู่กรณีซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วยนั้นจะยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการแล้วจะยื่นคำร้องขอทางแพ่งประกอบเพื่อเรียกค่าเสียหายไปพร้อมกันด้วย โดยศาลนัดพิจารณาคดีวันที่ 24 พ.ค.นี้
ในวันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เวลา 18.50 น.
สุธิรา หงษ์ทอง แม่ของบอย และ
กิตติศักดิ์ สิงห์โต หรือ
บอย ได้ออกมามาเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผ่าน
รายการ ต่างคนต่างคิด ว่า ปัจจุบัน บอย ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่อยครั้งนั้น คือ จมูกยังเบี้ยวอยู่ และยังทำงานอยู่ปกติ ส่วนเรื่องคดีความตอนแรกบอยและแม่ไม่คิดที่จะเอาความ อยากจะให้ต่างฝ่ายต่างไกล่เกลี่ย และแยกย้ายกันไป เพราะช่วงนั้น เห็นว่า น็อต อัครณัฐ มีความกังวลในเรื่องอนาคตของตัวเองถ้าคลิปหลุดออกไปในเรื่องหน้าที่ การงาน ทางสังคมบนโลกออนไลน์ หรือว่าทางบันเทิงจะสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งตนนั้นก็เห็นใจ
โดยน็อต อัครณัฐ ไม่อยากให้ทางตนนั้นเอาเรื่องแล้วก็สามารถตกลงกันได้ และตนก็ให้อภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากเห็นคลิปที่มีการแชร์บนโลกออนไลน์ รู้สึกว่ามีความรุนแรงมาก ชกต่อย แล้วบังคับให้ลูกตนนั้นไปกราบรถมินิคูเปอร์ และได้มีการบันทึกคลิปตัวเองเหมือนจะหาหลักฐานมัดตัว จึงเปลี่ยนใจแจ้งความเอาผิด
หลังจากเเจ้งความเอาผิดไป และทางน็อต อัครณัฐ ก็ได้ออกมาพูดผ่านสื่อว่า
"ผมรู้สึกผิดมาก ผมจะปรับตัวใหม่ ส่วนเรื่องรับผิดชอบน้องบอย ไม่ต้องห่วง ผมยืนยันเหมือนเดิมว่าผมจะรับผิดชอบน้องบอย อย่างเต็มที่เต็มกำลังที่ผมทำได้" แต่ทางบอย ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการเยียวยาจากทางคู่กรณี แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่เคยโทรมาหายังครอบครัวตนเอง โดยทางคุณแม่บอยบอกว่าตนเองนั้นหมดใจกับเรื่องนี้แล้ว เพราะน็อตเคยบอกว่าตนไม่ได้มีมาก เพราะเขาไม่ได้รวย
แต่จะมีหรือไม่มีเราก็ต้องดิ้นรน ต้องมีคุณธรรม ส่วนถ้าหากจะให้คุยกับน็อตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ยอมคุย แต่ความผิดที่เขาได้ก่อขึ้นมาก็ต้องคุยตามกระบวนการชั้นศาล
เพราะหากลูกชายตนเองทำผิดก็จะให้รับผิดชอบ แม้ก่อนหน้านี้เคยให้ทางน็อตเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่ได้มา ซึ่งทางบอย ไม่คิดโกรธและคิดแค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าจะคุยกับน็อตก็จะคุยแค่ในชั้นศาล และอยากให้เรื่องดังกล่าวจบให้เร็วที่สุด ข่าวที่ออกมาในเรื่องนี้ก็ไม่อยากไปดูอีกแล้วอยากให้จบ เมื่อถามว่า เห็นรถใหญ่หรือมินิ ยังผวาอยู่หรือไม่ บอย ก็ยิ้มและยอมรับว่าก็ยังกลัวอยู่ เรียกได้ว่า ยังมีอาการผวาในการขับรถอยู่บ้างและเหมือนจะจำเรื่องราวดังกล่าวได้ขึ้นใจ
ทนาย สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ บอกว่า ถ้าทางน็อตต้องการเข้ามาช่วยเหลือจริงๆ แม้ทางแม่ไม่อยากคุยด้วย ก็น่าจะหาตัวแทนเข้ามาเจรจา แต่นี้กลับเงียบหาย ซึ่งผิดวิสัย และ
ขณะนี้ได้มีมือดีไปบอกตำรวจและทางหมอที่รักษาน้องบอย ว่า ทำไมถึงได้รักษาถึง 20 วัน อาการไม่สาหัสแต่ทำไมให้พักรักษาตัวยาวนาน ซึ่งขณะนี้ทางทนายก็ยังสงสัยว่า มือดีคือใคร ? โดยวันที่ 29 พ.ค.นี้ จะมีการนัดตรวจพยานหลักฐาน และจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลเป็นโจทก์ร่วม ซึ่งข้อหาที่ น็อต เจอนั้นเป็นมาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนทางด้าน บอย ส่วนเรื่องค่าสินไหมเป็นสิทธิของทางศาล และเรื่องการจ่ายเงินเยียวยานั้นศาลจะใช้ดุลยพินิจตามกระบวนการทั้งหมด