กรณีสำนักสงฆ์วัดป่าเนื้อนาบุญ ต.โพธิ์ศรี อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โดยมีหลวงตากรันยา เป็นหัวหน้าที่พักสงฆ์ ได้สั่งสอนศิษย์ในทำนองว่า อนุญาตให้ผู้ที่มาปฎิบัติธรรมสามารถเสพเมถุนได้ เพราะเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งในการทำสมาธิให้หลุดพ้นจากกรรม ซ้ำยังได้บุญและมีสมาธิเพิ่ม ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 28 ก.พ.64 เวลา 15.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่วัดกอกหวาน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.มะหยี่ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี เปิดเผยว่า แม่ของตนได้นำที่ดินไปจำนอง และนำเงินไปให้กับพระกรันยา ที่มีศักดิ์เป็นลุงของตน และแม่ของตนเคยไปทำบุญกับพระกรันยา ตั้งแต่ตนยังเด็ก ๆ แต่ก่อนพระกรันยาก็เหมือนพระทั่วไป กระทั่งเมื่อหลายปีก่อน แม่ของตนได้นำที่ดินบ้าน (เป็นชื่อพ่อกับแม่) ไปจำนองกับธนาคาร และให้เหตุผลว่าจะถมดินให้พื้นสูงขึ้น ทุกคนเลยไม่ได้ขัด
แต่พอได้เงินจำนอง จำนวน 220,000 บาท แม่ของตนได้นำไปทำบุญที่วัดทันที โดยให้เหตุผลว่า พระกรันยาบอกว่าบรรพบุรุษของตนยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์ เพราะบุญไม่ถึง จะต้องทำบุญให้เยอะ ๆ และตอนนี้พระกำลังช่วยแผ่ส่วนบุญให้ แม่จึงเอาเงินไปช่วย ทุกวันนี้ตนจึงยังเป็นหนี้อยู่ และเคยร้องศูนย์ดำรงธรรมแต่ไม่เป็นผล
ส่วนตัวไม่ได้ติดใจเรื่องที่ดิน แต่ตนอยากได้แม่คืนมา เพราะแม่ไปอยู่ที่วัดเนื้อนาบุญ 7 ปีแล้ว ไม่เคยเจอหน้ากันอีก ตนก็ส่งข้าวส่งน้ำเข้าไปให้ โดยสาเหตุที่แม่ออกมาไม่ได้ เพราะแม่เป็นอริยบุคคล ทำให้อยู่ปะปนกับคนทั่วไปไม่ได้ และแม่ต้องดูแลเจ้าแม่เต่าทอง ซึ่งเป็นอริยบุคคลรุ่นแรก ๆ ที่ถูกยกย่องเหมือนเป็นคนสูงค่า นอกจากนี้ แม่ยังเคยชวนตนให้ไปร่วมปฏิบัติธรรม แต่ตนมองว่าหลักคำสอนดูแปลก ๆ อีกทั้งช่วง 2 ปีให้หลังมานี้ยังมีการสอนดำน้ำมุดน้ำอีก
ระหว่างที่และพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ เข้าไปเทศนาธรรม หมอปลาได้เจรจาจับลูกศิษย์วัด ให้ลูกศิษย์เรียกแม่ของมะหยี่ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ออกมาพูดคุยกัน เพราะทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 7 ปี กระทั่งนางประไพ ได้เดินออกมาพูดคุยกับทีมข่าว และน.ส.มะหยี่
นางประไพ ได้สอบถามทางลูกสาวว่า "มาที่นี่ต้องการอะไร" ก่อนจะให้เหตุผลว่า "ตอนนี้แม่ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว เพราะแม่บรรลุทางธรรม กลับบ้านไม่ได้แล้ว แม่เคยชักชวนให้ลูกมาปฏิบัติธรรม แต่ลูกไม่ยอมมาเอง จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้"
หลังจากที่ น.ส.มะหยี่ ได้พูดคุยกับนางประไพ ผู้เป็นแม่ จึงตัดพ้อว่าตนคงจะนำแม่กลับคืนมาไม่ได้แล้ว เพราะแม่คงจะไม่เหมือนเดิม หลังจากที่ได้พูดคุย แม่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก คือ ก้าวร้าวมากขึ้น และคนปกติทั่วไปหากเจอลูกที่ไม่ได้เจอกันนับปี ควรจะเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ แต่นี่แม่ไม่เข้ามาคุยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าหลักคำสอนที่นี่ค่อนข้างแปลก และสาเหตุที่แม่ของตนเปลี่ยน คงจะเป็นเพราะหลักคำสอนทำให้ปฏิบัติจนเพี้ยนไป
ด้านพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ เปิดเผยว่า จากทีอาตมาเข้าไปพูดคุยกับพระกรันยา ลักษณะการสอนของพระกรันยาเหมือนเป็นการบัญญัติศัพท์ หรือคำสอนขึ้นมาเอง โดยอาศัยจำคำจากตำรามาอธิบายความหมาย โดยป้ายหน้าวัดจะมีการระบุข้อที่ต้องปฏิบัติตาม หากต้องการเข้าไปด้านใน ซึ่งสาเหตุที่พระกรันยา ไม่ให้คนธรรมดาเข้าไป เพราะคนธรรมดาทั่วไปยังคงกินเนื้อสัตว์ ทำให้มีกลิ่นเหม็นสาบ ด้วยเหตุนี้คนที่ต้องการเข้าไปจะต้องดำน้ำจนกว่าจะมีกลิ่นหอม ซึ่งหากดำน้ำจนถึงที่สุด ปัสสาวะ และอุจจาระ จะมีกลิ่นหอม แม้แต่พระกรันยาทุกวันนี้ก็ยังดำน้ำ แต่ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว พระสงฆ์ไม่สามารถลงดำน้ำได้ เพราะผิดวินัยสงฆ์
ทั้งนี้ตามหลักธรรมที่พระกรันยาสอน ตรงตามพระพุทธศาสนามีเพียงหลักศีล 5 เท่านั้น แต่สิ่งที่ผิดแปลก คือ การสอนเรื่อง ฌาน โดยสอนว่าถ้ารู้สึกร้อน คือการเกิดฌาน ด้วยเหตุนี้เลยจะต้องดำน้ำจะทำให้ฌานดับ ซึ่งการลงน้ำเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่จะทำให้หายร้อน
กรณีเส้นผมที่อ้างว่า ถ้าปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้วจะม้วน วันนี้หนึ่งในลูกศิษย์ได้โกนเส้นผมให้ตนดู พบว่าไม่ได้ม้วนแต่อย่างใด ซึ่งทางพระกรันยาให้เหตุผลว่า เพราะพลังงานจากกล้องที่อาตมาถ่ายทำให้ผมไม่ม้วน อีกทั้งระหว่างที่อาตมาเข้าไปพบพระกรันยา ไม่ได้กลิ่นหอมจากตัวพระกรันยาแต่อย่างใด
ส่วนการที่พระสงฆ์เต้น พระกรันยาให้เหตุผลว่า คล้ายกับการที่พระตีระฆัง ก่อนทำวัดสวดมนต์ และเต้นเพื่อออกกำลังกาย ซึ่งปกติที่วัดจะออกกำลังกายก่อนฟังธรรม ในเวลาประมาณ 19.00 น. ส่วนเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ พระกรันยาได้มีการสอนเรื่องเพศจริง และการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง จะเกิดกลิ่นหอมออกมา นอกจากนี้ยังมีการพยากรณ์ เช่น พยากรณ์ว่าบุคคลนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือจะได้ลงนรก อีกทั้งยังมีการพยากรณ์ว่า คนนี้เป็นอริยบุคคล หรือพยากรณ์ว่าคนที่ได้เป็นอรหันต์ หรือปฏิบัติสูงสุดจะเป็นพระเจ้า ซึ่งกรณีดังกล่าวเข้าข่ายอวดอุตริ
อย่างไรก็ตาม จากการปฏิบัติและผลที่ตามมา อาตมามองว่า คือ อุปทานหมู่ และวิธีการสอนเป็นวิธีคิดค่อนข้างเพี้ยน นอกจากนี้การมาตั้งสถานที่อยู่เอง เป็นเรื่องที่ผิด เพราะพระสงฆ์ไม่เหมือนชาวบ้าน จะมาสร้างสถานที่แล้วปฏิบัติธรรมเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และพระกรันยา ยังคงยืนยันว่าตัวเองทำถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องดำเนินการมากกว่านี้ และควรจะต้องเรียกไปสอบตามระเบียนสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ