หายหน้าหายตาจากหน้าจอไปจนแฟนๆ อดไถ่ถามไม่ได้ว่า สา มาริสา หันหลังให้วงการบันเทิงไปอีกคนแล้วหรือเปล่า ซึ่งเจ้าตัวได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เผยว่ายังไม่หยุดรับงานในวงการ เพียงแต่เลือกรับมากขึ้น เพราะเบื่อบทเดิมๆ ที่ทุกครั้งแฟนๆ จะต้องเห็นลุคเซ็กซี่เท่านั้น ช่วงนี้เลยผันตัวไปรับบทบาทจิตอาสาแทน ถึงขั้นเข้าคอร์สพาน้องหมาสุดที่รักไปเรียน เพื่อช่วยบำบัดผู้ป่วยประเภทต่างๆ
ถาม ตอนนั้นเข้าวงการตอนอายุเท่าไหร่
มาริสา : 12 ค่ะ นี่ใกล้จะ 40 แล้ว ตอนแรกเริ่มจากแคสติ้งโฆษณาก่อน หลังจากนั้นค่อยไปเล่นหนังเรื่องเสียดาย 2 ของท่านมุ้ย หลังจากนั้นเล่นเสียดาย แล้วก็ดังเลย
ถาม ซึ่งเราพูดภาษาไทยได้
มาริสา : หัดพูดภาษาไทยตอนประมาณ 8 ขวบค่ะ
ถาม ชอบการเป็นดารานักแสดงหรือเป็นนางแบบ
มาริสา : ถ้าพูดถึงวัยตอนนี้นะคะ คิดว่าเรื่องของการแสดงน่าจะเหมาะสมที่สุด ส่วนเรื่องของความเปรี้ยว ความเก๋อะไรต่างๆ มันผ่านตรงนั้นมาหมดแล้ว
ถาม แต่ทำไมเหมือนช่วงนี้ไม่รับงานในวงการ
มาสิรา : ก็ไม่เชิงไม่รับ แต่ด้วยความที่คนส่วนใหญ่ ผู้จัดหรือคนดู จะติดลุคเราที่เป็นลุคเซ็กซี่ เราเลยรู้สึกเบื่อกับการเล่นละครที่เป็นลุคเซ็กซี่มากๆ ค่ะ เพราะว่าเราเคยได้ยินคนพูดว่า สา มันเล่นอะไรไม่ได้หรอก ต้องเล่นเซ็กซี่อย่างเดียว อย่างอื่นมันเล่นไม่ได้หรอก ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นปมในใจ ฟังแล้วมันเจ็บ เราทำงานมามากกว่า 20 ปี เรามีค่ามากว่าคำว่าเซ็กซี่ ก็เลยไม่ค่อยรับงานที่มีความเซ็กซี่เลย จะรับคือน้อยมากๆ ถ้าเป็นบทดราม่าแรงๆ แบบนี้รับหมดค่ะ แต่จริงๆ แล้วบทอะไรก็รับหมด ขอให้ขายความสามารถ
ถาม เท่ากับว่าหลังๆ มาคือเราเลือกรับบท
มาริสา : เลือกเลยค่ะ เพราะว่าเบื่อที่ต้องใส่ชุดแบบรัดๆ สั้นๆ มันน่าเบื่อ
ถาม ซึ่งชีวิตจริงๆ ของเราแต่งตัวแบบไหน
มาริสา : ก็แต่งตัวแบบมิดชิด แบบนี้เลยค่ะ ก็อาจจะมีลึกบ้าง เว้าหลังบ้าง แต่ไม่ใช่แบบสั้นหรือเซ็กซี่ ไม่ได้ใส่เลยค่ะ
ถาม ไม่ใช่เพราะเลือกรับงาน จนหลายคนพูดว่าตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่มีงาน
มาริสา : ไม่เลยค่ะ ตอนนี้ก็มีละครที่ถ่ายเสร็จแล้ว รอออกอากาศอยู่ค่ะ
ถาม เห็นว่าตอนนี้ไปทำโครงการจิตอาสา เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
มาริสา : สาไม่ได้เป็นคนเริ่มทำโครงการนะคะ มีโครงการมาอยู่แล้ว Therapy Dog Thailand หรือ สุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย ซึ่งโครงการนี้ให้เราเอาน้องหมากับเราไปฝึก ซึ่งพอฝึกเสร็จแล้ว เขาก็จะพาเรากับน้องหมาไปช่วยบำบัดผู้ป่วยประเภทต่างๆ ซึ่งเรากับน้องหมาของเราจะกลายเป็นนักบำบัด เราจะพาน้องหมาไปบำบัดคนอีกที ง่ายๆ เลยคือน้องหมาเปรียบเสมือนเครื่องมือแพทย์ อย่างเช่น ผู้สูงวัย เด็กพิเศษต่างๆ คนหูหนวก หรือว่าผู้ป่วยจิตเวช ที่เรารู้จักโครงการนี้ เพราะว่าเราเลื่อนเฟสบุ๊คเล่นค่ะ แล้วก็เห็น ด้วยความที่สาเลี้ยงน้องหมาอยู่แล้ว เราก็ฝึกเขาเรื่อยๆ ด้วยกิจกรรมต่างๆ เราเลยคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราน่าจะช่วยคนอื่นได้ด้วยความที่น้องหมาของเราค่อนข้างฉลาด ซึ่งเราก็ได้เข้าไปเรียนและก็ได้ประกาศนียบัตรจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้จำกัด เป็นน้องหมาพันธ์อะไรก็ได้ที่จะเข้าไปเรียน แต่ต้องมีอายุ 6 ขวบขึ้นไป ไม่เกิน 7 ขวบ แล้วก็ไปสมัครเรียนได้เลย ซึ่งหลักๆ ของสาตอนนี้ เราจะทำงานกับโรงพยาบาลก่อน เพราะว่าทั้งหมดที่เราทำคือเราเป็นจิตอาสา ไม่ได้รับเงิน เราก็จะไปตามบ้านพักคนชรา หรือโรงพยาบาลศรีธัญญา ตามสถานที่ที่มีเด็กพิเศษ เราก็จะช่วยเข้าไปดูแล ซึ่งหลายคนก็อาจจะงงว่าน้องหมาเข้าไปแล้วทำอะไรได้บ้าง อย่างเช่น ผู้สูงอายุก็จะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแยกตัวออกจากสังคม กล้ามเนื้ออ่อนแรง เราก็อาจจะให้ผู้สูงอายุโยนลูกบอลให้หมาเพื่อให้เขาได้ออกกำลังกายแขน แล้วน้องหมาก็จะไปคาบลูกบอลกลับมา เพราะว่าผู้สูงวัยการออกกำลังกายของเขาคือบีบลูกบอล ดึงเชือก ซึ่งผู้สูงอายุบางคนจะไม่ชอบเพราะว่ามันน่าเบื่อ หรือว่าเราเดินคู่กับวีลแชร์ที่ไปออกกำลังกายในสวน เพราะแบบทีผู้สูงวัยเขาไม่ได้อยากสนทนากับเรา แต่เขาแฮปปี้ที่จะได้คุยกับน้องหมา ได้สัมผัส พวกนี้จะเป็นการฟื้นฟูจิตใจ หรือว่าเด็กพิเศษเราจะเข้าไปฟื้นฟูในเรื่องของการเข้าสังคม เด็กออทิสติกคือเด็กที่มีการโฟกัสเรื่องบางอย่างสูงมากๆ การแสดงออกของเขาจะรุนแรงอย่างเช่น ตี หยิก หรือกรีดร้อง เราก็จะเอาน้องหมาเข้าไปเพื่อให้เข้าได้รู้จักถึงการเข้าสังคม เพราะจะสอนให้เขาเมื่ออยู่กับคนอื่นจะได้รู้จักถึงการอ่อนโยน อย่างเขาแปรงขนน้องหมาเป็น เราก็จะสามารถหวีผมของตัวเองได้นะ ซึ่งเราก็จะอยู่ด้วยตลอดเวลาค่ะ เพราะว่ามีกฎว่าน้องหมาตัวนี้เป็นของเรา เราเป็นนักบำบัด เราจะต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งเราจะไปเยี่ยมต่อครั้งก็ขึ้นอยู่กับทางแพทย์เป็นคนกำหนดค่ะ ว่าเราจะเยี่ยมคนนี้กี่ครั้ง ครั้งละกี่นาที
มาริสา : ซึ่งหลักสูตรที่สาเข้าไปเรียนเป็นหลักสูตรที่ยากนะคะ ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าไปเรียน เราจะต้องสอบทั้งตัวของเราในเรื่องของ ทัศนคติ ว่าเราเป็นคนแบบไหน เฟรนด์ลี่พอไหม เพราะเราจะต้องเข้าไปคุยกับผู้ป่วยประเภทต่างๆ แล้วน้องหมาก็ต้องทำคำสั่งพื้นฐานได้ มอบคอยต้องรู้ต้องทำได้ เล่นของเล่นถ้าสั่งให้หยุดก็ต้องหยุดทันที ซึ่งระยะเวลาในการเรียนคือประมาณ 6 เดือนค่ะ ใน 6 เดือนเรียน 2 วัน วันละ 6 ชั่วโมงค่ะ ซึ่งการเรียนก็แบ่งเป็นการเรียนแบบจิตวิทยา ที่เราต้องไปคุยกับคน แล้วที่เราต้องไปคุยกับน้องหมา พฤติกรรมน้องหมา เพื่อเราจะได้รู้ว่าการทำท่าทางแบบนี้น้องหมาคิดอะไรอยู่เพื่อเราจะได้ป้องกันอุบัติเหตุที่เราไม่คาดคิด เช่น เด็กออทิสติกจะเป็นอะไรที่เล่นแรง น้องหมาของเราจะโดนฝึกให้อดทนกับการโดนดึง โดนกระแทก โดนตี พวกนี้เขาจะได้รับการฝึกมาเพื่อไม่ให้เกิดการตกใจ แต่มันก็เหมือนคนค่ะ เพราะเมื่อเราโดนกระทำเยอะๆ เราจะเกิดความเครียด เราต้องศึกษาให้ดีว่าเมื่อน้องหมาเรายกขาเริ่มสเต็ปที่หนึ่ง ถ้าเริ่มเบี่ยงหน้าหนีแล้ว แปลว่าเขาไม่แฮปปี้แล้ว เราก็ต้องพาเขาไปพักแล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่
ถาม เคยลงไปรักษา มีเคสไหนที่ยากบ้าง
มาริสา : เป็นผู้ป่วยจิตเวชค่ะ เคยมีเคสหนึ่งน้องหมาของเราใส่ปลอกคอแล้วมีเชือกจูงใช่ไหมคะ ก็คุยกันอยู่ดีๆ แล้วเขาก็บอกว่าพี่คะหนูชอบเชือกมากเลยค่ะ แล้วเราก็ถามว่าจะเอาเชือกไปทำอะไร เขาก็บอกว่าหนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แล้วเขาก็เอาเชือกคล้องคอตัวเอง ซึ่งเขาทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอันนี้เราก็ต้องคอยระวัง แล้วก็ต้องทำให้เขาปล่อยเชือกเส้นนั้น โดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกบีบบังคับ มันเลยต้องใช้ทั้งจิตวิทยา ไหวพริบ และความสามารถของน้องหมาเราด้วย
ถาม เราได้เข้ามาทำโครงการนี้แล้วในอนาคตเราจะต่อยอดอะไรได้อีกไหม
มาริสา : เราก็คาดหวังว่าต่อไปมันจะสร้างอาชีพให้กับทีมของเราได้ ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยนะคะ เป็นเพื่อนหรืออะไรก็ได้ ซึ่งตอนนี้สาก็รับสอนน้องหมาตามบ้านด้วย เราจะต้องสอนอะไรน้องบ้าน พื้นที่ในบ้านเราควรจะจัดพื้นที่ยังไง เวลาของน้องหมาควรจะเป็นแบบไหน อาหารของน้องหมาควรจะกินแบบไหน ซึ่งเราจะเข้าไปสอนในพฤติกรรมของเขาเป็นแบบบวก แต่เราจะรับสอนน้องหมาที่อายุไม่เกิน 1 ปีนะคะ ต้องจัดระเบียบตั้งแต่เด็ก
ถาม มีน้องหมาติดตัวตลอดเวลาแบบนี้ แล้วจะมีลูกได้ยังไง
มาริสา : ไม่มีค่ะ ตั้งใจไว้แล้ว เพราะเราเพิ่งคุยกันได้ 3 ปี ซึ่งเราก็เห็นด้วยร่วมกันกับสามีว่าจะไม่มีลูก
ถาม ส่วนงานในวงการบันเทิงก็ไม่ทิ้งใช่ไหม
มาริสา : ไม่ทิ้งค่ะ งานแสดง งานละครก็ยังรับอยู่นะคะ หรือรีวิวอะไรเกี่ยวกับน้องหมา ได้หมดค่ะ