ตุ้ย เกียรติกมล หรือตุ้ย AF ผู้ชายที่พูดชัดว่าปกติแล้วไม่คุยเรื่องความรัก แต่เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show จะเปิดใจมากที่สุด ให้ได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของเขา ซึ่งบางมุมหลายคนอาจจะจดจำว่าตุ้ยคือแบดบอยหรือเปล่า แต่อยากจะบอกในหลายมุมของตุ้ยมีมากมายเหลือเกินที่ทำให้เราได้ยิ้มไปตามๆกัน โดยเฉพาะความรักที่ตุ้ยมีให้กับครอบครัว
ถาม เรื่องราวความรักของ ตุ้ย AF ที่ครั้งหนึ่งมีแฟนพร้อมกัน 2 คน แล้ว 2 คนนั้นเขารู้ไหม
ตุ้ย : ตอนนั้นพอออกมาปุ๊บ เราก็บอกกับผู้จัดการก่อนว่าพี่ ผมมีผู้หญิงคนนี้นะ เพื่อให้เขาคอยจัดการให้หน่อย เพราะว่าเราเริ่มออกสู่สาธารณชนแล้ว ก็ต้องให้เขาช่วย ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่คาบต่อมาจากร้องเพลงกลางคืน มันก็จะเดือดพอสมควร ถามว่าตอนนั้นแฟนสองคนรู้ไหม เป็นมุมแบบนี้มากกว่าครับ เหมือนจะยอมก็ไม่ได้ยอม มันก็จะเป็นอะไรแบบนี้ที่มาติดๆ ผมแบบนั้นไป ซึ่งที่เราต้องบอกผู้จัดการไปเพราะว่าเขากลัวด้วยเดี๋ยวลั่น
ถาม ตอนออกมาจากบ้าน AF ความรักของตุ้ยเปลี่ยนไปด้วยไหม เพราะเราไม่ได้เป็นตุ้ยคนเดิมแล้ว เรากลับไปเจอผู้หญิงสองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง
ตุ้ย : ผมก็เป็นปกตินะครับ ไม่ได้ลืมตัว ก็ยังคบเขาอยู่ ก็พักหนึ่งครับ เพราะเอาจริงๆ ผู้หญิงคนนี้เขาก็เป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำนายผม ตั้งแต่สมัยร้องเพลงกลางคืน เขาชอบดูดวง แล้วเขาก็เอาดวงของผมไปดูด้วย โดยที่ผมไม่ได้เข้าไปด้วย แล้วหมอคนนั้นเขาก็ทักตั้งแต่สมัยที่ผมร้องเพลงกลางคืนว่าแฟนเธอคนนี้จะดังในอนาคต เราก็คิดว่าจะดังได้ยังไง จนมาเป็นตุ้ย AF ข้อความที่หมอพูดตอนนั้นก็กลับมาว่าเราดังจริง อย่างที่เขาพูด แล้วผู้หญิงคนนี้เขาก็กลับไปหาหมอคนเดิมว่าเข้าไปแล้วจะอยู่ที่เท่าไหร่ เขาก็บอกมาว่า 1 ใน 5 อันนี้ที่เขาเล่าให้ฟังนะครับ หลังจากที่เราออกมาจากบ้านแล้ว แล้วหมอก็บอกว่าถ้าเราได้ตำแหน่ง ให้เรากลับไปหา พอออกมาเราก็ไปหา หมอก็ทัว่าคนรักก็มี คนเกลียดก็มี เดี๋ยวแม่ช่วย เขาก็ให้เราเอารูปไปให้เขา แล้วเขาก็ให้เชือกถักเหมือนถักเปียครับ แล้วตรงกลางเชือกก็จะเป็นเหมือนตะกรุดอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ให้เราใส่ไว้ แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิด แต่เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่เชื่อจนทุกวันนี้ พอหลังจากออกมา ผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงคนนี้แบบเงียบๆ แม่ก็มาคอยดูผม ก็อยู่บ้านด้วยกัน 3 คน คือ ผม แม่ ลูกสะใภ้ตอนนั้น แล้วพออยู่ด้วยกัน ผู้หญิงเริ่มมีปากเสียงกับแม่ของผม แล้วแม่ก็เตือน มาต่อว่าผม เราก็แบบว่าแม่ เฮ้ย!! แม่อะไร จะมาอย่างนี้ได้ไง เหมือนไม่เชื่อแม่ มีปากเสียงจนถึงขนาดสิ่งที่ผมไม่เคยทำใส่แม่เลย ความรุนแรงต่างๆ ไม่เคยทำใส่เลย ตอนนั้น ฃผมโมโหแม่มากผมเอากระป๋องแป้งปาลงพื้น แล้วผมก็ออกไปถ่ายละคร แล้วแม่ก็เริ่มสงสัย ตอนนั้นผมถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก ก็มีไปต่างจังหวัด เชือกที่ใส่อยู่ที่ข้อมือมีคราวขาด ผมก็ถอดไว้บ้าน แล้วแม่เขาก็เอาไปให้ญาติช่วยดู แม่ก็เลยรู้ว่าเราโดนทำของใส่ แต่ก็แปลก พอผมถอดเชือกนี้ผมก็ไม่อยากกลับไปอยู่ที่เดิมอีกเลย แล้วบอกแม่ว่าอยากกลับไปอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จนมาได้คำตอบว่าผู้หญิงคนนี้ก็ส่งเชือกแบบเดิมมาที่บ้าน พร้อมกระดาษ 1 ใบที่เขาเขียนมา ตอนที่ผมคงเขาเรียกหมูน้อยกับหมีน้อย เขาเขียนมาในกระดาษว่า หมูน้อย หมีน้อยเอามาไว้ต่างหน้านะ ถ้าคิดถึงหมีน้อยก็ไปที่หน้ากระจกแล้วอ่านข้อความนี้นะ ผมก็ทิ้งเชือกแล้วก็ไม่ยุ่งอะไรอีกเลย ให้แม่เอาไปทิ้ง แต่เราก็หาข้อสรุปไม่ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องราวหนึ่งที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตและก็ไม่เคยเจอ ซึ่งพอเรากลับมาอยู่บ้าน เราก็ขอโทษแม่ในสิ่งที่เราทำไปวันนั้นครับ และเราก็ไม่เคยทำแบบนั้นอีกเลย เพราะว่าผมไม่ใช่คนก้าวร้าวกับแม่อยู่แล้ว
ถาม จริงหรือเปล่าที่ตุ้ยโครตเจ้าชู้เลย
ตุ้ย : อย่าเรียกว่าเจ้าชู้เลยครับ เรียกว่าไม่มั่วแต่ทั่วถึง เพราะด้วยความที่เราร้องเพลงกลางคืน อันนี้ไม่ใช่ข้ออ้างนะครับ เราไปร้องที่แรกก็เป็นค็อกเทลเลานจ์ ซึ่งผู้หญิงก็อยู่ที่นั่นเยอะ อย่างผมร้องเพลงเสร็จห้าทุ่มเที่ยงคืน แต่น้องๆ เขายังทำงานอยู่ในนั้น เขาเลิกประมาณตี 1 ผมก็จะเอามือถือมาเลื่อนดูว่าวันนี้ไปส่งคนไหนดีนะน้องๆ ในนั้น จนไปชนตอคือไปเจอตัวแม่คือเป็นตัวท็อปในร้าน ก็ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว ก็ต้องมาจบกับคนนี้ เพราะถ้าผมไปยุ่งกับคนอื่นอีก คนนี้ก็จะไปตามตบผู้หญิงคนนั้นคนนี้ แล้วฮามากตอนที่ผมเป็น ตุ้ยAF ผู้หญิงตัวแม่คนนี้ เขาโทรกลับมาหาผมว่า ตุ้ย เนี่ยรู้ไหม เวลาที่เสี่ยคนไหนมาเที่ยว เขาก็ให้เสี่ยทุกคนโหวตให้เรา แล้วบอกเลยว่าเนี่ยผัวเก่า (หัวเราะ) คะแนนที่ผมได้มาส่วนหนึ่งก็จากเขา
ถาม แล้วมีรักครั้งไหนไหมที่เราคิดว่าเราไม่น่าทำแบบนั้นเลย เสียดาย เสียใจ มากกับสิ่งที่เราทำ
ตุ้ย : ก็คงตอนเป็น ตุ้ย AF เนี่ยแหละครับ เราก็จะเจอคนเยอะ มีคนเข้ามาหาเราเยอะ มีผู้หญิงเข้ามาเองบ้าง เราไปเที่ยวผับ เราก็ไปเจอมาบ้าง แต่สุดท้ายไปเจออยู่คนหนึ่งที่คบกันแล้ว ช่วงนั้นเราเหมือนลืม เราไม่ได้มัวเมาชื่อเสียงนะครับ เป็นช่วงที่คนเข้ามาเยอะ เราก็เลยไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเขาเท่าไหร่ อยากจะเจ้าชู้แต่เจ้าชู้โง่ๆ เราก็คบคนนี้เป็นแฟนอยู่ แล้วเราก็คิดจะเจ้าชู้อยู่ อย่างเราจะไปร้านเหล้ากับเพื่อน เราก็บอกเขาว่าเดี๋ยวเราไปกับเพื่อนนะ เขาก็ให้ไป แต่เรามีแผนอยู่แล้วว่าเราจะไปหาผู้หญิงอีกคน พอร้านเหล้าปิด เราก็บอกเขาว่าเราไปร้านข้าวต้มต่อนะ แล้วก็ปิดมือถือเลยเพื่อไปหาผู้หญิงอีกคน แล้วเช้ามาเราก็บอกว่าแบตหมด แล้วเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ เราก็คิดว่าเขาไม่รู้จริงๆ จนเขาไม่ไหว เขาก็หักดิบเราเลยบอกเลิก เราก็ เฮ้ย สรุปรู้เหรอ เรายังโง่อีกนะ เราก็รู้สึกผิด ขอเขาคืนดี เขาก็ยืนยันว่าไม่อย่างเดียวเลย ตามง้อมาก เราเสียใจร้องไห้น้ำตาแตกเลยตอนนั้น ตอนนั้นเราคิดถึงเขาไม่ว่าเวลาที่เราจะไปทำงานหรืออะไร เพราะเขาไม่ยอมคืนดีกับเรา เราก็ตามง้อเขาทุกที่ เขาก็ไม่ยอมกลับมาคืนดี ตอนนั้นผมก็กลายเป็นคนสำมะเลเทเมาอยู่ประมาณ 6-7 เดือนจากคนที่ไม่ได้ดื่มทุกวันก็กลายเป็นคนที่ดื่มหนักมาก ซึ่งในตอนนั้นถ้าเขากลับมา ผมอยากมีครอบครัว อยากมีลูกกับเขา พอเลิกไปแล้วผมถึงได้รู้ว่าคนนี้คือแม่ของลูก ในยุคที่ผมอยากแต่งงานอยู่นะครับ ก็กลายเป็นว่าผมไม่ลืมเขาอยู่ประมาณ 3-4 ปี ทุกครั้งที่เรามีผู้หญิงคนใหม่เข้ามา ก็ลืมได้แป๊บหนึ่ง แต่พอออกจากผู้หญิงคนนั้นมา เราก็กลับมาคิดถึงเขา คือถามว่าเขายอมคุยไหม ยอมคุยนะครับ แต่ไม่ยอมกลับมาดีด้วย แล้วเขาก็ไม่มีคนอื่นด้วยนะครับ
ถาม ทำไมเราถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดีมาก เขาดีและแตกต่างจากคนอื่นยังไง
ตุ้ย : วัดจากผู้หญิงคนต่อๆ มาที่ผมได้เจอ ไม่มีใครดีเท่าเขาเลย เขาแตกต่างจากคนอื่นคือจริตจะก้าน ความเป็นตัวของตัวเอง เขาเป็นคนระดับเดียวกับเรา ระดับเดียวในที่นี้คือไม่ใช่ชื่อเสียงที่ผมมีนะ ผมเป็นคนรากหญ้า เขาก็เป็นแบบนั้น เขาเข้ากับพ่อแม่ผมได้ทุกอย่าง มันลงตัวหมด แต่ผมเองที่ไม่ได้เห็นของมีค่าที่อยู่กับเรา ณ ตอนนั้นดันเมามัวกับความที่มีผู้หญิงเข้ามาเยอะ จนลืมว่าเรามีของมีค่าอยู่ พอวันหนึ่งที่เราเสียไป เราก็เสียดาย มันก็เลยกลายเป็นว่าความคิดของเราเปลี่ยน ก็พยายามไม่ทำใครให้เจ็บอีก หลังจากนั้นถ้าคิดว่าจะเจ้าชู้ ก็จะไม่เจ้าชู้โง่ๆ
ถาม เราได้มีโอกาสขอโทษเขาจริงจังไหม ณ ตอนนั้น
ตุ้ย : ในช่วงง้อก็ขอโทษอยู่แล้วพี่ ยิ่งกว่าขอโทษแล้ว แต่เขาจะไป ซึ่งตอนนี้หลังจากที่ขาดกันจริงๆ แล้วก็รู้มาว่าเขาก็ไปในทางที่ดี เราก็ดีใจแทนเนอะ ดีใจที่เป็นบทเรียนให้เขาได้เจอผู้ชายดีๆ แต่เขาก็เป็นบทเรียนให้ผมได้เป็นคนที่ดีขึ้นเหมือนกัน จนถึงทุกวันนี้อยู่วงการมา 15 ปี มันก็เริ่มนิ่งขึ้น ลืมไปเลยว่าไปจีบผู้หญิงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือเราไปนัวผู้หญิงแบบเดิมเมื่อไหร่ เราทำไว้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก็ไม่ค่อยสรรหาแล้วตอนนี้
ถาม เป็นโสดอยู่นานไหม หลังจากที่เราเลิกกับผู้หญิงคนนี้ที่มีผลต่อหัวใจเรามากๆ คุณพ่อคุณแม่เองก็รู้จัก คุณแม่ว่าอย่างไรบ้างที่เห็นสภาพลูกเสียใจที่เห็นผู้หญิงคนนี้เดินจากไป แล้วตอนนั้นมองมุมความรักเราเปลี่ยนไปไหม
ตุ้ย : ผมไม่เคยโสดเลยครับพี่ ไม่นานครับ แป๊ปเดียวก็มาใหม่ ไม่ได้แสวงหาด้วย แต่ก็มีเข้ามาเรื่อยๆ แต่เราก็ยังใช้ชีวิตเหมือนคนกลางคืนอยู่ แต่ทุกคนที่เข้ามาก็ไม่ได้เข้ามาทำให้เรารู้สึกเหมือนกับคนนี้ เพราะด้วยความที่เราไม่เจอคนที่ดีแบบนี้ ผมก็เลยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยคาดหวังกับการที่จะคบกับใครแล้วจะต้องจบด้วยการแต่งงาน มีชีวิตคู่ มีครอบครัว มีลูกด้วยกันผมก็เลยบางๆ จางๆ เรื่องความรักไปเลยครับ เพราะตอนนั้นเราเสียใจหนักมาก จนแม่บอกว่าเราโดนของหรือเปล่า ก็มาหาคำตอบ ไม่ บ้า เขาจะทำตุ้ยทำไม เขาไม่ทำหรอก แต่พอมา ณ ตอนนี้นึกย้อนกลับไป มันเป็นความรักจริงๆ เราลืมเขาไม่ได้จริงๆ เรารักเขาจริงๆ เราเสียดายเขาจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้โทษใคร โทษตัวเองอยู่แล้วครับ
ถาม ยิ่งนานวันที่เราได้อยู่ในวงการบันเทิง เราคงไม่ได้ใช้ชีวิตที่หวือหวารวมไปถึงเรื่องของอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย เราได้บทเรียนอะไรจากความรักแต่ละครั้งที่ผ่านมาถึงตอนนี้
ตุ้ย : น่าจะเป็นเรื่องของความเจ้าชู้ที่ไปเรื่อย ไม่หยุดไม่หย่อน ก็เริ่มเหนื่อยครับ เพราะในช่วงที่มันเดือด มันก็เหนื่อยจริงๆ นะ แต่ตอนนั้นมันไม่เหนื่อย แต่ตอนนี้พอมองกลับไป เราก็บอกกับตัวเองว่าไม่เหนื่อยเหรอตุ้ย ซึ่งมันก็น่าเหนื่อยครับ เพราะตอนนั้นออกมาใหม่ๆแบบสมมติทำงานเสร็จ เดี๋ยวพี่ไปถ่ายคลับฟรายเดย์นะ วางสาย พี่ไปถ่ายคลับฟรายเดย์นะ วางสาย คือโทรบอกทุกคนที่เราคุยอยู่แบบนี้ประมาณ 6-7 คนอย่างนี้ ในยุคใหม่ๆ แล้วผู้จัดการที่นั่งอยู่ข้างๆ เรา ก็บอกเราว่าไม่เหนื่อยเหรอตุ้ย ต้องมานั่งบอกนั่งอะไรแบบนี้ทุกคนช่วงเดือดๆ ก็จะเป็นแบบนี้ แต่พอตอนนี้มานั่งนึกย้อนไปเออ เหนื่อยจริงๆ ก็เลยหยุดดีกว่า ถ้าถามว่าอยู่ในวงการมาหลายปีเคยมีแฟนในวงการไหม ไม่เลยครับ เพราะผมเลือกที่จะไม่มีเลย ผมเป็นคนใจแคบ เป็นคนขี้หึงครับ คนในวงการบันเทิงเขาต้องเป็นดารา ไม่นางร้ายก็ต้องนางเอก และอาจจะต้องไปโดนผู้ชาย หรือดาราด้วยกันจับไม้จับมือ แม้แต่ในฉากก็ไม่ได้ เพราะผมขี้หึงมาก ผมรู้นะครับว่ามันเป็นการแสดง แต่ไม่ได้ครับ แต่ผมสามารถทำได้ครับ แต่แฟนผมทำไม่ได้ และอีกอันหนึ่งไม่ได้เลยคือสมมติผมคบกับพี่ฉอด พี่ฉอดเป็นดาราด้วยกันกับผมแล้วพี่ฉอดเลิกคบกับผมไปคบกับพี่อั๋น ไม่ได้นะครับ เพราะว่าผมไม่ยอมให้พี่ฉอดไปคบกับพี่อั๋น ถึงจะเลิกกับผมแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้ ถ้าผมเจอ ผมก็ต่อยหน้าด้วย แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นนะ ผมก็เลยเลือกว่าไม่มีแฟนในวงการบันเทิงดีกว่า เพราะไม่งั้นเรายังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี แล้วไม่เคยคิดหรือหวั่นไหวกับใครด้วยนะครับ แล้วทุกครั้งที่เข้าไปหอมไปกอด ที่บอกว่าผมทำได้เนี่ย ผมก็จะให้เกียรติเขาด้วย เพราะในฐานะที่ผมไม่รู้ว่าเขามีแฟนหรืออะไรหรือเปล่า เราก็จะขออนุญาตเขาก่อนจะหอม จะกอด หรืออะไรก็แล้วแต่ จะขอเขา ยกมือไหว้ ผมเลยเลือกที่จะมีแฟนนอกวงการ เพราะว่าน่าจะเจอกันยากหน่อย ถ้าเลิกกันไป เพราะว่าผมเลิกกับแฟนเก่าทุกคน ผมไม่เคยเจอเขาอีกเลย แล้วผมไม่เคยเล่นเฟสบุ๊ค มันก็เลยไม่มีอะไรที่จะจดจำ ผมไม่รู้อีกเลยว่าเขาไปทำอะไรต่อที่ไหน
ตุ้ย : (ซึ่งถามว่าตอนนี้ผมโสดไหม) ผมไม่เคยโสดครับ แต่อย่างที่บอก จะไม่วุ่นวายแบบสมัยก่อนแล้ว ผมจะนิ่งมากขึ้นกว่าเดิมแล้วก็โชคดีที่ผู้หญิงที่เข้ามาที่คบๆ เลิกๆ ที่ไม่ได้ออกสื่อเนี่ย เป็นคนแบบเดียวกับเราที่ไม่ชอบให้โลกรู้ ที่อยากอยู่ในที่ของเรา ก็ไม่ได้อยากแบบว่าเป็นแฟนตุ้ย ซึ่งผมก็ไม่ได้ห้ามเขาด้วยนะครับ แต่แค่แฟนของผมหรือคนที่ผมคบทุกคนเป็นคนประเภทเดียวกันคือไม่ได้ชอบถ่ายรูปกับแฟนลงโซเชียล
ถาม แล้วอย่างคนปัจจุบัน ณ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ตุ้ย : ก็ดีครับ เจอกันตั้งแต่ที่เขาเป็นสมัยนักศึกษาเลยครับ ถามว่าคนนี้คบกันนานไหมมาๆ ไปๆ ครับ
ถาม ที่บอกว่าเลิกบ่อยๆ เพราะว่าตุ้ยไม่เชื่อในเรื่องของความสัมพันธ์หรือเปล่า เราไม่ค่อยให้ความสำคัญ หรือเรามองเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ มีทัศนคติยังไง
ตุ้ย : พอมันนานเข้า มันกลับกลายเป็นว่าผมไม่อยากมีครอบครัว ผมไม่อยากแต่งงานแล้ว ไม่อยากมีลูก แต่ผมไม่ได้จะไม่ให้เกียรติกับผู้หญิงที่ผมคบอยู่นะครับ ในสมัยก่อนผมอยากจะมีลูก อยากจะแต่งงาน พอมันนานเข้า เรื่องราวกลับกลายมาเป็น ณ จุดนี้ มันก็เลยทำให้สมองผมเปลี่ยนไปเลยว่าที่ผมไม่อยากแต่งงานก็เพราะผมรู้สึกแบบ ผมเห็นคู่อื่นเขาแต่งงานกันใหญ่โต สุดท้ายก็เลิกกัน หรือการที่ผมไม่อยากมีลูก เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าผมมีลูกเพื่อจะต้องมาพึ่งเขา ลูกต้องพึ่งผม เกิดมา ผมต้องมาส่งเรียน เลี้ยงดู เกิดมาทำไม ก็ไม่ต้องมีสิ อะไรอย่างนี้ ผมไม่อยากมีลูกเพราะอยากชื่นใจ แล้วชีวิตของผมก็มีความสุขอยู่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่ของผมก็ไม่ได้เรียกร้องว่าอยากมีหลาน เขาก็มีความสุขอยู่แล้ว ซึ่งถามว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนใจหลังจากผมอายุ 38 ไหม คงไม่เปลี่ยนไปจากนี้แล้วครับ เพราะตอนนั้นที่ผมอยากจะแต่งงานอยากจะมีลูกคือตอนอายุน้อยๆ 20 ต้นๆ เอง
ตุ้ย : เดี๋ยวพี่ๆ จะคิดว่าผมไม่ให้เกียรติผู้หญิง ถ้าจะต้องลงเอยกับใครสักคน ผมไปนะ ไปหาพ่อแม่เขา ต้องไป เอาพ่อแม่เราไป แต่ไม่แต่งงานคือไม่จัดงานที่ใหญ่โต เพราะเราคิดว่าเราเอาเงินที่จะจัดงานเลี้ยงดูคุณดีกว่า
ถาม แต่เห็นว่าไม่ว่าแฟนจะเป็นแนวไหน เป็นใครยังไงไม่สำคัญ เพราะคนสำคัญที่สุดในชีวิตคือคุณแม่ เมื่อไหร่ที่แม่มีปัญหากับแฟน คือแม่ต้องถูกเสมอ
ตุ้ย : เพราะผมมีแม่อยู่คนเดียว และแม่ของผมไม่เคยมีปัญหากับแฟน แต่แม่จะเป็นคนโบราณ เขาจะมองขาดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นยังไง ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเชื่อเขา เราก็รั้น พอแม่ทักปุ๊บ เราก็จะอะไร แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปอย่างที่เขาทักจริงๆ หลายครั้ง จนวันนี้ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่ง มันจะต้องเริ่มต้นจากการที่เขาคุยกับแม่ผมรู้เรื่อง เขาต้องคลิกกับแม่ เป็นคนรากหญ้าเหมือนกัน เป็นคนพื้นๆ เหมือนกัน เพราะผู้หญิงที่จะเข้ามาอยู่ในครอบครัวผมได้ ก็ต้องธรรมดาเหมือนผม แล้วบ้านผมจะไม่มีปัญหาเรื่องลูกสะใภ้กับแม่สามีเลยเพราะว่าแม่เขาพูดมาตั้งแต่สมัยผมเริ่มวัยรุ่น เริ่มมีแฟน ยายน้อยเขาจะแบบดูละครเยอะ ก็จะพูดกับเราว่าอีกหน่อยมีเมียแล้ว ก็จะลืมแม่ ผมก็จะบอกแม่ว่าแม่ดูละครเยอะไปไหม ผมก็บอกแม่ว่าไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นแน่นอน แล้วอีกอย่างตอนนี้ เวลาพาผู้หญิงเข้ามาในบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างต้องถูกสกรีนก่อนที่คุณจะเข้ามาในบ้านผมแล้ว
ถาม ตุ้ยเป็นคนที่ดูแลคุณแม่ดีมาก ไม่ให้คุณแม่ทำงานเลยตั้งแต่เข้าวงการ
ตุ้ย : ด้วยความที่แม่ป๊าทำงานมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ที่ผมเด็กจนผมเรียนจบจนผมมาเป็นตุ้ย AF โอกาสที่ผมจะดูแลคุณพ่อคุณแม่จากชื่อเสียงเงินทองที่ผมได้รับ เราก็บอกเขาว่าถ้าเราออกมาจากบ้าน เราจะดูแลเขา ไม่ให้เขาทำงานแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ เลี้ยงได้จริงๆ เหรอ ทันทีที่เราได้เช็คใบแรกจากที่เราทำงานยื่นให้ยายน้อย 300,000 บาท แม่ช็อกเลย เขาก็เลยเชื่อใจผมตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ปีที่ 15 แล้วครับ ผมให้แม่ดูแลทุกอย่าง ยกเว้นอะไรที่เป็นหนี้ จะเป็นชื่อผม แต่พอทุกอย่างที่ผ่อนหมดแล้ว ต้องโอนไปเป็นชื่อแม่ เพราะแม่เขาจะบอกว่าไม่ได้ต้องเป็นชื่อเขา เพราะว่าวันหนึ่งถ้าเรามีปัญหาอะไรมา เดี๋ยวเขาไม่มีบ้านอยู่ แต่ทุกอย่างนี้ที่ผมมีเงินเก็บต้องยกเครดิตให้ยายน้อยเลยครับ บ้าน ทรัพย์สิน อสังหาอะไรต่อมิอะไร รวมไปถึงเงินเก็บ เป็นชื่อแม่ทั้งหมดเลย แล้วทุกวันนี้แม่จะมาดูกระเป๋าเงินตลอด แล้วเขาจะคอยเติมเงินให้เราตลอดทุกวัน แต่ตอนนี้ยังดีที่ให้ใช้บัตรเครดิตได้ แต่เวลาที่เราใช้อะไรต้องไปบอกเขา ถามว่าเราเคยแอบไม่ให้ไหม เคยนะครับ แต่แม่โกรธมาก เคยแอบซ่อนเงินไว้ในบ้าน เขาน้อยใจว่าทำไมเราไม่บอก ทำไมต้องเก็บแบบนี้ เขาก็ยังมองว่าเราเด็กอยู่ดีถึงเราโตขนาดไหน แต่ผมก็โอเคที่จะให้แม่ช่วยดูแลเงินเราแบบนี้นะครับ
ถาม ปกติเราดื่มหนักมากเลยเหรอ
ตุ้ย : ตอนนี้ก็ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้นแล้วครับ ตอนนี้เราก็ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่แล้ว ก็จะเป็นไวน์แทน เพราะตอนนี้เราก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายของเรา
ถาม ในชีวิตของการเป็นตุ้ยในเวอร์ชั่นที่นิ่งขึ้นเยอะมาก เป็นยังไงกับตัวเองในตอนนี้บ้าง
ตุ้ย : ตอนนี้มันก็จะเป็นเรื่องของการปูพื้นฐานในชีวิตให้มากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ ครับ เราก็ทิ้งความอยากได้ออกไป อย่างเช่นเรื่องสิ่งของหรือผู้หญิง หรืออะไรหลายๆ อย่างที่มันจะมาบั่นทอนทำให้เราไม่สามารถสร้างครอบครัวให้แข็งแรงได้ ทำให้เราเข้าใจเลยกับคำว่าเหนื่อยน้อยลงเป็นยังไง
ถาม ตุ้ยมีอะไรอยากจะพูดถึงคุณพ่อ คุณแม่ที่ต้องบอกว่าเป็นขุมพลังที่ใหญ่สุดของตุ้ยเอง
ตุ้ย : ผมโชคดีที่พ่อแม่ของผมไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ เลย คือโชคดีมาก แต่สร้างเรื่องให้ตัวเอง ป๊าไม่ปีนต้นไม้ตกลงมานิ้วหัก หรือแม่ปลูกต้นไม้ใบไม้ทิ่มตาอย่างนี้ คือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเอง สิ่งที่เราต้องการและห่วงคือเลิกสร้างเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวดีกว่า เราก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่เราก็อยากให้เขาระวัง และให้ดูแลซึ่งกันและกัน เพราะตอนนี้ยายน้อย ตาเชียร เป็นอะไรทีบุญเก่าเขาเยอะ เขาเลยมีสุขภาพที่แข็งแรง ก็อยากให้อยู่กับผมไปนานๆ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป
https://youtu.be/FpxZZJI2Q6U
https://youtu.be/bstn5Nt47P8
https://youtu.be/tMO94ycq2JQ
https://youtu.be/_M7bMb-CMrs
https://youtu.be/OMMvMG0lJUc
https://youtu.be/AB6P09614Aw