จากกรณีทหารพม่าใช้เครื่องบินถล่ม ชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านสะกอท่า ยับเยินส่งผลให้มีชาว พม่าลี้ภัย เตรียมเข้าสู่ไทยอีกเป็นจำนวนมาก โดยผู้นำกะเหรี่ยงอิสระ KNU ระบุทหาร พม่าฆ่าชาวกะเหรี่ยงเพื่อหวังให้หลบหนีเข้าไทยและไม่มีใครส่งเสบียงอาหารให้กับทหาร ถือเป็นการตัดกำลังทหารกะเหรี่ยงขณะที่ในฝั่งไทยมีข่าวว่าทหารพรานของไทยได้ทำการผลักดันผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงกลับประเทศพม่าสร้างความกังวลใจและหวาดกลัวให้กับหลายฝ่าย
ประท้วงพม่า เลวร้ายหนัก ทหารยิงพยาบาลตายในโรงพยาบาล - กราดยิงในงานศพ
วานนี้ (29 มี.ค.64) เวลา 20.30 น. แหล่งข่าวคนสนิทของ พล.ต.บ่อจ่อแฮ ผบ.กองพลน้อยที่ 5 KNU เปิดเผยว่า ทหารพม่าได้มีการใช้อากาศยานทำการโจมตีบ้านเรือนราษฎรชาวกะเหรี่ยงบ้านดิบุโหน่ จนเสียหายอย่างหนัก โดยทางฝ่ายพม่าเข้าใจว่าจุดที่โจมตีคือที่ตั้งของกองบัญชาการรบพิเศษ โดยผลจากการโจมตีทำให้ราษฎรชาวกะเหรี่ยงซึ่งรวมถึงเด็กเสียชีวิตไป 7 คน ส่วนบ้านเรือนและรวมไปถึงโรงเรียนเสียหายหมดจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ราษฎรในหมู่บ้านได้พากันหลบหนีไปอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน ตรงข้ามห้วยแม่สะเกิบ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนเพื่อที่จะเดินทางเข้าไปหาราษฎรกลุ่มแรกที่ได้เดินทางข้ามไปฝั่งไทยแล้ว
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ทางการไทยโดยทหารพรานกรมที่ 36 ได้ทำการผลักดันผู้อพยพกลับเข้าไปในเขตพม่า และจุดที่ได้เคยเข้าไปอาศัยอยู่ได้มีการสั่งห้ามกลับเข้าไทยเด็ดขาดและมีการนำลวดหนามหีบเพลงมาวางขวางเพื่อป้องกันการอพยพเข้าไทยอีก
จากคลิปที่ถ่ายโดยราษฎรชาวกะเหรี่ยงบ้านดิบุโหน่ ได้พูดออกมาในทำนองเสียใจและโศกเศร้าอย่างหนัก กล่าวว่า "เสียหายหมดเสียหายหมดเลย" "ไม่มีคนเหลืออยู่เลย" "ให้กลับไปรอที่ริมแม่น้ำคืนนี้อาจจะมีการบินมาโจมตีพวกเราอีก" "โรงเรียนเสียหายหมดเลย"
แหล่งข่าวยังระบุต่อไปว่าการโจมตีของทางการพม่าได้เน้นไปที่ราษฎรไม่ใช่ฐานที่มั่นทางทหาร ซึ่งคาดว่าทางฝ่ายพม่าต้องการตัดเสบียงของทหารกะเหรี่ยงด้วยการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนและทำให้ประชาชนหนีเข้าสู่ไทยมากขึ้นเพื่อสร้างภาระให้กับไทย และหวังจะให้ไทยไปกดดันกลุ่ม KNU ในทางอ้อม
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่าสถานการณ์ในประเทศพม่าได้เริ่มรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้อพยพหลบหนีเข้ามาอาศัยในไทยล่าสุดจำนวน 2,194 คน และคาดว่าน่าจะมีการหลบหนีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้ทางจังหวัดจะต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลในเรื่องการเข้าไปดูแลผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้มีการวางแผนเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้วที่ อ.ขุนยวมแต่เป็นพื้นที่คนละจุดกัน ซึ่งตอนนี้ผู้อพยพดังกล่าวได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพรานจากกรมทหารพรานที่ 36 แม่สะเรียงจัดกำลังเข้าไปควบคุมดูแลในเบื้องต้นแล้ว
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง ระบุว่า ตอนนี้ทางฝ่ายปกครองยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้อพยพที่ชัดเจนเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตรับผิดชอบของทหารและมีการห้ามหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลผู้อพยพเหล่านั้น
ล่าสุด นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ในพม่าและบริเวณแนวชายแดนอย่างใกล้ชิดมาระยะหนึ่งแล้ว และได้มีการประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง สำหรับนโยบายต่อกลุ่มผู้หลบหนีเข้ามาในไทยนั้น ขอให้มั่นใจว่าไทยมีประสบการณ์ในการรับมือกับกลุ่มผู้อพยพเข้าไทยด้วยเหตุผลต่างๆ จากประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน และที่ผ่านมาได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่หนีภัยการสู้รบหรือสถานการณ์ความไม่สงบจากประเทศเพื่อนบ้าน ตามหลักมนุษยธรรมและหลักสากลระหว่างประเทศมาโดยตลอด
สำหรับความห่วงกังวลหากจะมีผู้หนีภัยข้ามมายังฝั่งไทยเป็นจำนวนมากจากสถานการณ์ในขณะนี้นั้น เชื่อว่าฝ่ายความมั่งคงและจังหวัดตามแนวชายแดนได้มีการเตรียมพร้อม ทั้งแนวปฏิบัติและสถานที่รองรับไว้แล้ว รวมทั้งมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่เป็นแนวปฏิบัติที่มีมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงที่เริ่มการแพร่ระบาด