จากกรณีที่นายพัฒนกร เนตรวงษ์ หรือ ตั้ม อายุ 19 ปี ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนายพันยศ หรือ น้องปลื้ม อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนใน จ.พิษณุโลก ได้รับบาดจากกระสุนที่บริเวณศีรษะ อาการสาหัส ขณะนี้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู มีพ่อและแม่คอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
สืบเนื่องจากนักเรียนทะเลาะวิวาทก่อเหตุไล่ยิงกัน ก่อนหน้านี้นายพันยศมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนชายชั้น ม.5 และชกต่อยกันมาหลายครั้ง จนอาจารย์ฝ่ายปกครองต้องเชิญผู้ปกครองมาพูดคุย และไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน แต่เรื่องกลับบานปลายไม่จบ เนื่องจากคู่กรณีได้ให้รุ่นพี่คนก่อเหตุซึ่งเป็นคนนอกโรงเรียนมาดักเคลียร์หลักเลิกเรียน จนเกิดเหตุยิงกันขึ้น
ล่าสุด วันที่ 3 เม.ย. 64 นายพัฒนกร ผู้ก่อเหตุ ติดต่อ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก เพื่อมอบตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งชุดสืบสวนไปนำตัวจากที่จุดนัดพบ หลังจากที่ได้หลบหนีไปเก็บตัวอยู่ที่ จ.สุโขทัย และนำตัวมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เพื่อทำการสอบสวน
นายพัฒนกร ยอมรับว่า เป็นผู้ยิงโดยใช้อาวุธปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ วันเกิดเหตุต้องการไปเคลียร์เรื่องทะเลาะวิวาทให้น้อง แต่เกิดช่วงชุลมุน ทำให้อารมณ์มันพาไป จึงได้นำเอาอาวุธปืนที่พกมา ยิงใส่นายปลื้มไป 1 นัด จนเห็นนายปลื้มล้มลง จึงได้หลบหนีไป
โดยหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปอยู่บ้านญาติที่ จ.สุโขทัย จากนั้นก็สำนึก ผิดติดต่อกับตำรวจให้ไปรับตัวมาดำเนินคดี ตนเองเสียใจที่ลงมือกระทำลงไป อยากขอโทษญาติและผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายพัฒนกรไปค้นหาอาวุธปืน ซึ่งทิ้งไว้ริมถนนบายพาส เส้นพิษณุโลก-บางระกำ แต่ก็ไม่พบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุแต่อย่างใด เนื่องจากนายพัฒนกรอ้างว่าจำจุดทิ้งไม่ได้ หลังจากนั้น ตำรวจจึงได้นำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ บริเวณศาลารอรถหน้าโรงเรียนทันที เพื่อป้องกันมิให้ญาติผู้ได้รับบาดเจ็บมาแก้แค้นได้
พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วนผู้อื่นที่มาร่วมก่อเหตุด้วยนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทยอยทำการสอบสวน หากสอบได้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้อง และเจตนาในการก่อเหตุด้วย ก็จะดำเนินคดีต่อไป
ส่วนบนเฟซบุ๊กของผู้ก่อเหตุ ก่อนหน้านี้มีการโพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวขอโทษที่กระทำเนื่องจากมีเหตุผลของตัวเอง
นายประกายแสง เจริญภักดี พ่อน้องปลื้มคนเจ็บ เปิดเผยว่า อาการของลูกชายตอนนี้ยังไม่ทรงตัว ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหมออย่างใกล้ชิด ตนเองและแม่ของน้องปลื้มก็เข้าเยี่ยมได้บางเวลา เพราะเนื่องจากติดช่วงโรคระบาดโควิด-19 จึงทำให้ไม่สามารถอยู่ด้วยได้ตลอด อาการของน้องปลื้มตอนนี้ค่อนข้างแย่ ชีพจรอ่อนลง พบว่าสมองทั้งหมดใช้การไม่ได้หยุดทำงานไปแล้ว มีเพียงสมองส่วนด้านหลัง ซึ่งยังสามารถควบคุมการทำงานของหัวใจ มีเลือดสูบฉีดเลี้ยงตามอวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยตอนนี้แพทย์ก็ได้ใช้ยากระตุ้น ซึ่งทำให้ร่างกายยังคงมีชีพจรเต้นและเลือดไหลสูบฉีด แต่ลูกชายยังไม่ตอบสนองหรือเคลื่อนไหว ตอนนี้อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ และการผ่าตัดเอากระสุนที่กระจายอยู่ทั่วสมองออกเป็นความเสี่ยงสูง ไม่สามารถดำเนินการได้ ตอนนี้ครอบครัวได้แต่ทำใจและขอให้มีปาฏิหาริย์
ส่วนกรณีที่นายตั้ม คนก่อเหตุมอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ตนเองยังไม่ทราบข่าว คนก่อเหตุควรที่จะรับโทษ เพราะลูกชายของตนเองต้องมานอนอยู่ในสภาพแบบนี้ สภาพจิตใจตนก็ยังไม่สามารถทำใจได้ ลูกชายเตรียมที่จะไปสอบทหาร ลูกชายเตรียมที่จะทำให้ครอบครัวเกิดความภาคภูมิใจ แต่สุดท้ายต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
นางชญาณ์นันท์ รักษา อดีตครูประจำวิชาภาษาไทย เป็นครูที่นายปลื้มสนิท เปิดเผยว่า น้องปลื้มมักจะปรึกษาหรือเล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟังเสมอ ล่าสุดตนเองเจอกับน้องปลื้มเมื่อช่วง 3 เดือนก่อน น้องปลื้มได้ไปฝึกซ้อมด้านกายภาพ ทดสอบร่างกายที่สนามกีฬากลางจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนเตรียมทหาร น้องปลื้มเป็นคนที่ค่อนข้างมุ่งมั่นและมีมานะ ฝึกซ้อมพร้อมทั้งทบทวนวิชาเรียนที่เกี่ยวข้องกับการสอบโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะเจ้าตัวใฝ่ฝันที่จะเป็นทหาร อยากทำให้ครอบครัวมีความภาคภูมิใจ ตามกำหนดการแล้วน้องปลื้มเตรียมที่จะเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบทหารช่าง ในวันที่ 5 เม.ย.
หากย้อนกลับไปในช่วงที่เรียนชั้นประถมศึกษา น้องปลื้มเป็นคนที่เรียนเก่งเสมอต้นเสมอปลาย ได้เกรดเฉลี่ย 3 กว่าเสมอ จนกระทั่งเรียนชั้นมัธยมศึกษาก็ยังได้เกรดเฉลี่ย 3 กว่าเหมือนเดิม แต่น้องปลื้มจะเป็นคนที่มีความเก่งด้านภาษาอังกฤษ ช่วงที่เรียนก็มักจะได้เป็นตัวแทนไปสอบแข่งทักษะวิชาการบ่อยครั้ง
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นจากนักเรียนชั้น ม.5/2 กับ ม.5/10 ตนเองยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะเนื่องจากเป็นโรงเรียนแห่งใหม่ที่น้องย้ายไปเรียนชั้นมัธยมศึกษา แต่ยืนยันว่าน้องปลื้มเป็นคนที่ขยันเรียนและเป็นเด็กดี
ขณะที่วันนี้ ตนเองเดินทางไปที่โรงพยาบาล แม่ของน้องยังอยู่ในอาการเสียใจร้องไห้ตลอดเวลา ส่วนพ่อไม่ได้ร้องไห้ เป็นคนที่เข้มแข็ง แต่ลึก ๆ แล้วตนเองเชื่อว่าก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้อาการของน้องก็ไม่สู้ดีมากนัก เพราะกระสุนถูกยิงเข้าที่ท้ายทอย เป็นลูกกระสุนปลาย กระจายอยู่ทั่วบริเวณสมอง ทะลุออกบริเวณกลางศีรษะ 1 เม็ด ที่เหลือตัดส่วนสำคัญภายในสมอง ไม่สามารถผ่าตัดได้ในตอนนี้ หมอให้สัญญาณบางอย่างเพื่อจะให้ครอบครัวทำใจ โดยน้องอาการยังไม่รู้สึกตัว และอาการอาจจะแย่ลงมากกว่านี้ เพราะเป็นการได้รับบาดเจ็บส่วนของสมอง
ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของนายตั้ม น้าสาวของนายตั้ม เปิดเผยว่า หลานชายเป็นคนที่ค่อนข้างเกเร ปกติก็จะเข้าออกสถานพินิจมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อวานนี้เพิ่งทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนว่าหลานชายเพิ่งพ้นโทษ ในคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่น แต่หลังจากที่พ้นโทษออกมาก็ไม่ได้ย้อนกลับมาที่บ้าน คาดว่าไปมีแฟนอยู่ในอำเภอเมือง และเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน
ที่สำคัญนายตั้มมักจะติดต่อพูดคุยกับแม่ แต่ไม่ได้ติดต่อมาฝ่ายยายและฝั่งน้า ตนจึงไม่ทราบความเคลื่อนไหว จนกระทั่งมาทราบข่าวที่ปรากฏอยู่ในโลกออนไลน์ มีการแชร์ชื่อและนามสกุลรวมถึงใบหน้าในเฟซบุ๊ก ทำให้ตนเองค่อนข้างตกใจ ไม่คิดว่านายตั้มจะไปก่อเหตุดังกล่าว แต่กระบวนการหลังจากนี้ให้ว่าไปตามขั้นตอนกฎหมาย ตั้งแต่ที่นายตั้มเข้าออกสถานพินิจหรือเรือนจำ ก็ไม่ได้ติดต่อกับทางบ้าน และไม่เคยมาที่บ้านหลังนี้อีกเลย
