จากกรณี เมื่อวันที่ 7 เม.ย.64 พ.ต.อ.สมชาย นพศรี ผกก.สภ.คลองแงะ รับแจ้งเหตุยิงกันเสียชีวิต บริเวณบ้าน หมู่ที่ 2 ถ.กาญจนวานิช ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา หลังรับแจ้งจึงได้รายงานให้ พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรภาค 9 รุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบ้าน พบศพผู้เสียชีวิตคือ นายธียุทธ เกตุสุริยงต์ หรือ ยุทธ อายุ 39 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนกล็อก ขนาด 9 มม. เข้าที่ศีรษะและลำตัว จำนวน 3 นัด ส่วนผู้ก่อเหตุคือ ด.ต.อิศรา เกศสุริยงค์ หรือ อู อายุ 38 ปี เป็นตำรวจ สภ.สะเดา ตำแหน่ง ผบก.หมู่งานป้องกันปราบปราม ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้ตาย
โดยหลังก่อเหตุ ด.ต.อิศรา ได้หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวในบ้านน้าตัวเอง ห่างจากจุดเกิดเหตุเข้าไปในซอยประมาณ 50เมตร พร้อมกับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ กระทั่งเจ้าหน้าที่นำกำลังล้อมจับได้สำเร็จ นำตัวไปสอบสวน สภ.คลองแงะ
วันที่ 8 เม.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองแงะ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เดินทางมาที่บริเวณจุดเกิดเหตุเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในช่วง 11.00 น. พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งมีร่องรอยคราบเลือดของผู้เสียชีวิตอยู่บริเวณนี้ด้วย
นางวันเพ็ญ เกตุสุริยงต์ อายุ 66 ปี แม่ของผู้ก่อเหตุ เผยว่า ลูกของตนคือเป็นตำรวจ สภ.สะเดา ลูกพี่ลูกน้องกับผู้เสียชีวิต ปกติแล้วลูกชายของตนเป็นคนนิสัยดี กระทั่งช่วง 5 ปีก่อนยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ประสาทหลอน หนักสุดถึงขั้นตาขวาง ทำลายข้าวของภายในบ้าน จำหน้าแม่ไม่ได้ โชคดีที่ไม่เคยทำร้ายคนในครอบครัวและเพื่อนบ้าน
ซึ่งก่อนหน้านี้ทางครอบครัวเคยพาลูกชายไปบำบัดรักษาการติดยาที่ รพ.สงขลานครินทร์ แล้วหลายครั้งหมดเงินไปหลายบาท แต่เมื่ออาการดีขึ้น ลูกชายก็ยังคงแอบไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอยู่เหมือนเดิม จนถึงขั้นเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ลูกชายถูกพักราชการเนื่องจากผิดวินัย เสพยาเสพติดจนไม่สามารถไปทำงานได้
วันเกิดเหตุทางญาติของตนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่ จ.ภูเก็ต ได้โทรศัพท์ติดต่อมาหาตนบอกว่า จะเข้ามารับตัวลูกชายเพื่อไปรักษาบำบัดอาการให้หายขาด แต่ก็ไม่ทันมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อน หลังทราบเรื่องว่าลูกชายของตนก่อเหตุยิงลูกพี่ลูกน้องจนเสียชีวิต ก็รู้สึกเสียใจ ปมเหตุกับลูกชายเล่าให้ตนฟังว่าขณะที่ผู้เสียชีวิตเดินมาที่บ้าน เพื่อจะมาหยิบยาโรคความดันให้กับญาติอีกคน ลูกชายอยู่ในบ้านเกิดอาการหลอนทางประสาท เห็นผู้เสียชีวิตเป็นผีเลยก่อเหตุ ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะผู้เป็นแม่ ก็อยากจะกล่าวคำขอโทษผู้เสียชีวิตและครอบครัวกับการกระทำของลูกชาย พร้อมทั้งอยากฝากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ตนจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวหรือช่วยเหลือเรื่องประกันตัว อยากให้ครอบครัวฝั่งผู้เสียชีวิตสบายใจได้ เนื่องจากตนมีความต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่นำตัวลูกชายไปบำบัดรักษาการ จะได้ไม่ต้องกลับออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในครอบครัวและชาวบ้านอีก
นายชม ภูพันนา อายุ 65 ปี น้าชายของผู้ก่อเหตุ เผยว่า เหตุเกิดวานนี้ 7 เม.ย. เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่ตนอยู่ภายในบ้าน ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นขึ้นจำนวน 3 นัด แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไร จนเวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ตนก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกที่ประตูบ้านว่า "น้าชม น้าชม เปิดประตูหน่อย" ตนเองจึงเดินไปเปิดประตู ด.ต.อิศรา อยู่ในสภาพนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ
เหงื่อเต็มตัว พร้อมกับเหน็บอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไว้ที่เอวด้านขวา ด้วยความตกใจตนจึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าตัวก็รับสารภาพกับตนว่า "ได้ไปยิงผีมาตัวหนึ่ง" เมื่อตนได้ยินก็รู้สึกตกใจ ก่อนจะมีเจ้าที่ตำรวจ สภ.จะแงะ เดินทางมาที่บ้านเพื่อล้อมจับ ด.ต.อิศรา ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงกว่าจะสามารถควบคุมตัวได้สำเร็จ ขณะนั้นเจ้าตัวอยู่ในอาการมึนเมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนมองว่า ปมเหตุน่าจะเกิดจาก ด.ต.อิศรา มีอาการหลอนทางประสาทเนื่องจากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมานาน อีกทั้งเป็นเด็กเก็บกด เนื่องจากคนในหมู่บ้านรวมไปถึงคนในครอบครัวไม่ค่อยยอมรับ เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมเสพยาของเจ้าตัว จนชาวบ้านต่างพากันหวาดระแวง
นอกจากนั้น คงเป็นการเก็บกดฝังใจที่พ่อของ ด.ต.อิศรา เคยถูกยิงตายเมื่อหลาย 10 ปีก่อน เจ้าตัวจึงขาดความอบอุ่น หากเป็นไปได้ตนก็อยากให้เจ้าตัวเปลี่ยนพฤติกรรม เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมทั้งให้ชดใช้กรรมตามความผิดที่ได้ก่อไว้ เพราะผู้เสียชีวิตเองก็เสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ที่วัดพังลา สถานที่สวดอภิธรรมศพของผู้เสียชีวิต ถ.กาญจนวานิช ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางสุภาพร อายุ 36 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต เผยว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 18.30 น. ตนและสามีรวมไปถึงกลุ่มเพื่อนได้นั่งดื่มกินกันอยู่บริเวณหน้าบ้าน ห่างจากบ้านจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร เวลาประมาณเกือบ 19.00 น. ทางน้าชายได้เดินมาขอให้สามีช่วยไปหยิบยาแก้ความดัน ที่อยู่ภายในบ้านจุดเกิดเหตุให้ เนื่องจากไม่กล้าไปเอา เพราะรู้ว่าผู้ก่อเหตุอยู่ภายในบ้าน เกรงว่ามีอาการหลอนยาและจะได้รับอันตราย สามีจึงอาสาเดินไปหยิบยาให้
หลังจากที่สามีเดินไปบ้านจุดเกิดเหตุได้ไม่ถึง 5 นาที ตนก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นขึ้นจำนวน 3 นัด กระทั่งมาทราบในภายหลังว่า สามีถูกยิงเสียชีวิต กระสุนเข้าที่บริเวณศีรษะและข้างลำตัว จากการสันนิษฐานของคนในครอบครัวคาดว่าสามีคงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปหายาแก้ความดันให้กับน้าชาย แต่ไปพบผู้เสียชีวิตที่อาบน้ำอยู่ และมีอาการหลอนยา ก็ไปคว้าปืนที่พกติดตัวมากระหน่ำยิงสามีจนเสียชีวิต
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยอมรับว่ายังคงทำใจไม่ได้ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามีต้องมาจากไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งสามีเปรียบเสมือนเป็นเสาหลักของครอบครัว หารายได้เข้าบ้าน หลังจากสามีเสียชีวิตไป ลูกสาวทั้ง 2 คน ก็ได้ร้องเรียกหาแต่พ่อ ถามกับตนว่า "พ่อหายไปไหน" ตนก็สงสารลูก และไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไร
ตนยืนยันว่าไม่มีทางจะให้อภัยให้ตัวผู้ก่อเหตุเด็ดขาด เนื่องจากเป็นการกระทำที่โหดและอุกอาจเกินไป อีกทั้งเจ้าตัวเป็นบุคคลที่สร้างความหวัดกลัวให้กับคนในครอบครัวและชาวบ้านในพื้นที่มานานหลายปี ตั้งแต่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตนในฐานะเป็นภรรยาของผู้เสียชีวิตก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุดหากเป็นไปได้ ขอให้ติดคุกแบบไม่มีโอกาสได้ออกมาอยู่ร่วมกันอีกเลย เพราะเกรงว่าหากได้มีโอกาสออกมา ก็จะมาก่อเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก ตนอยากจะถามว่า "ฆ่าสามีของตนทำไม ทั้งที่เป็นญาติ และไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน"